ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า การดำเนินนโยบายทางการเงินของกลุ่มเศรษฐกิจหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตึงตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2022 อาจเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศ Emerging markets (EMs) โดยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศเร่งความเร็วของการลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE Tapering) เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม 2022 (จากเดิม 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึง Dot Plot ได้แสดงถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2022
ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ประกาศลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์ผ่านโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ในไตรมาสแรกของปี 2022 ลงเช่นกัน พร้อมส่งสัญญาณว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2022 นอกจากนี้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ก็ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% (จาก 0.1%) ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าธนาคารกลางหลักได้เริ่มลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินลง และกำลังเข้าสู่การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัว ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันให้กลุ่มประเทศ EMs มีความเสี่ยงต่อเงินทุนไหลออกและการอ่อนค่าของสกุลเงิน โดยประเทศที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาก มีสัดส่วนหนี้สาธารณะและหนี้ต่างประเทศสูง มีเงินเฟ้อสูง และทุนสำรองระหว่างประเทศต่ำ จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่รุนแรงกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทย EIC ยังมองว่าแรงกดดันดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อไทยมากนัก และจะไม่เป็นปัจจัยกดดันให้ กนง. ต้องรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหมือนในประเทศอื่น เนื่องจาก
- อัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2021 อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ระดับ 2.7% และ EIC คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยเฉลี่ยในปี 2021 อยู่ที่ 1.2% ขณะที่ในปี 2022 จะเร่งตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 1.6% ซึ่งยังอยู่ในกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 1-3% ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในประเทศ EMs อื่นที่ธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อหรืออัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าเร็ว เช่น บราซิลที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 10.7% ในเดือนพฤศจิกายน จนทำให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 5% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 สู่ระดับ 9.3% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ตรงข้ามกับไทยที่แรงกดดันดังกล่าวจะยังค่อนข้างจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ ธปท. ที่พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นราคาในระยะ 3 เดือนข้างหน้า สะท้อนข้อจำกัดของผู้ประกอบการในการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคจากกำลังซื้อโดยรวมที่ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ
- คาดว่าในระยะสั้น เงินบาทจะอ่อนค่าลงบ้างแต่ไม่รุนแรงนัก โดยค่าเงินบาทอาจผันผวนได้ในระยะสั้นตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการเริ่มดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางในเศรษฐกิจหลัก ที่อาจส่งผลให้มีความผันผวนและการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากภูมิภาครวมถึงไทยได้บ้าง ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 เงินบาทอาจอ่อนค่าอยู่ในช่วง 33.5-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี EIC คาดว่าค่าเงินบาทจะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2022 ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่จะชัดเจนขึ้นและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะขาดดุลลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าระวางเรือ (Freight) ที่คาดว่าจะทยอยปรับลดลงในปีหน้า นอกจากนี้ EIC คาดว่าการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นจะไม่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของไทยเร่งตัวขึ้นมากนัก เนื่องจากการส่งผ่านของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินสู่ราคาสินค้าและบริการในประเทศยังต่ำ (Low FX Passthrough)
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ธปท. จะสามารถเข้าดูแลเงินบาทในเวลาที่อ่อนค่าลงเร็วผ่านการขายเงินสำรองทางการที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ ธปท. ไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลค่าเงินบาท ซึ่งต่างจาก EMs หลายประเทศที่มีเงินสำรองในระดับต่ำ
- ปัจจัยพื้นฐานด้านเสถียรภาพต่างประเทศของไทยยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อ GDP ของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 36% ต่อ GDP โดยหนี้สาธารณะของไทยกว่า 98% เป็นหนี้ในประเทศ นอกจากนี้หนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยมีสัดส่วนน้อย (38% จากหนี้ต่างประเทศทั้งหมด) เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง (3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น) และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มปรับลดลงตามดุลรายได้ บริการ และเงินโอนที่ขาดดุลน้อยลง
โดย EIC คาดว่า ณ สิ้นปี 2022 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะขาดดุลลดลงเหลือเพียง 0.7% ต่อ GDP จากในปี 2021 ที่คาดว่าจะขาดดุล 2.8% ต่อ GDP ดังนั้นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพต่างประเทศที่จะทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายจะไหลออกจากไทยในปริมาณมากจึงมีน้อย
จากปัจจัยข้างต้น EIC จึงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2022 โดยคาดว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า แต่เศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกน่าจะทำได้ในปี 2023 และคาดว่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะเป็นไปอย่างช้าๆ โดย EIC ประเมินว่าขนาดของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะกลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดในช่วงกลางปี 2023
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP