Economic Intelligence Center หรือ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2563 ว่าจะหดตัว 0.3% (%YOY) จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8% เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 รุนแรงกว่าคาด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี
EIC ระบุว่าสถานการณ์โควิด-19 มีความรุนแรงและกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่เคยคาด ซึ่งการระบาดที่เริ่มต้นในจีนได้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของโลกอย่างรวดเร็วนับจากช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากขึ้นตามการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจประเทศหลักที่ได้รับผลจากโควิด-19 ผ่านมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด ความมั่งคั่งที่ลดลง (Wealth Effect) สะท้อนจากการลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกและปัญหาด้าน Supply Chain Disruption
นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมากจากทั้งการใช้น้ำมันที่ลดลงและสงครามราคาระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมัน จะส่งผลกระทบด้านลบค่อนข้างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน
ขณะที่ผลบวกต่อการใช้จ่ายในประเทศที่นำเข้าน้ำมันจะมีน้อยกว่าปกติจากความกังวลของผู้บริโภคต่อสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้น EIC จึงคาดว่าเศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.8% ในปี 2563 (จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3%) รวมถึงจะมีหลายประเทศที่มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฮ่องกง
นอกจากนี้ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นจากความผันผวนของตลาดเงินและการปรับลดลงอย่างรุนแรงของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ EIC มองว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 75-100bps มาอยู่ที่กรอบ 0-0.25% ในปีนี้ ธนาคารกลางยุโรปที่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ลงอีก 10bps มาอยู่ที่ -0.6% และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่อาจเพิ่มการเข้าซื้อสินทรัพย์ ETF และปรับให้มีความยืดหยุ่นในการเข้าซื้อมากขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทย โควิด-19 จะกระทบผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว การส่งออก และการใช้จ่ายในประเทศ โดยระดับของผลกระทบจะขึ้นอยู่กับสมมติฐานของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในกรณีต่างๆ เป็นสำคัญ
EIC ประเมินสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในกรณีฐาน (Base Case Scenario) โดยมีสมมติฐานว่าการระบาดในจีน การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อมีจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ และจะควบคุมได้ (ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ) ในเดือนพฤษภาคม
ขณะที่สถานการณ์การระบาดนอกประเทศจีน (รวมถึงไทย) จะมีความรุนแรงมากที่สุดในช่วงต้นไตรมาส 2 และจะควบคุมได้ในช่วงต้นไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยที่ในกรณีของไทย มีข้อสมมติฐานเพิ่มเติมว่าไม่มีการ Lockdown ในวงกว้าง ภายใต้กรณีฐานดังกล่าว EIC ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยดังนี้
การท่องเที่ยวหดตัว: EIC คาดว่านักท่องเที่ยวทั้งปี 2563 จะเหลือเพียง 27.7 ล้านคน (-30.5%YOY) โดยจะหดตัวมากที่สุดประมาณ (-75%YOY) ในช่วงเดือนเมษายน และจะปรับดีขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากนั้นจะกลับสู่ระดับเทียบเท่าปี 2562 (0%YOY) ในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ยังคาดว่ารายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็จะปรับลดลงจากปีก่อนหน้าด้วย ตามราคาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มลดลงตามสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ซบเซา
การส่งออกหดตัว: มูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มปรับลดลง 5.8% จากปีก่อนหน้าจากผลกระทบของโควิด-19 ผ่านช่องทางรายได้ของลูกค้าที่ลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่ลดลงมาก ซึ่งทำให้ราคาสินค้าส่งออกในหมวดน้ำมันและปิโตรเคมีลดลงตาม และปัญหาด้าน Supply Chain Disruption ที่เกิดจากการหยุดชะงักของการผลิตสินค้าในประเทศที่ได้รับผลกระทบ และไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตด้วย โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยใน 2 ประเด็น ได้แก่
1. ไทยจะส่งออกสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางบางประเภทลดลง เช่น ผลิตภัณฑ์ไม้ เหล็ก สินค้าเกษตร เนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีการหยุดชะงักของการผลิตสินค้า จึงลดการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางจากไทย
2. ไทยมีอุปสรรคในการผลิตสินค้าส่งออกบางประเภท เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เนื่องจากต้องพึ่งพาสินค้าวัตถุดิบขั้นกลางจากประเทศเหล่านั้น
การใช้จ่ายในประเทศลดลง: นอกเหนือจากรายได้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มลดลงจากผลของโควิด-19 การใช้จ่ายในประเทศจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความกังวลและตื่นกลัวกับสถานการณ์แพร่ระบาด นำไปสู่การลดการเดินทางท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยตามห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชนที่มีคนจำนวนมาก รวมถึงมีการลดหรือเลื่อนกิจกรรมงานสังสรรค์และงานนิทรรศการต่างๆ แม้ตัวเลขการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยการใช้จ่ายที่ลดลงได้ทั้งหมด
โดยรวม EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 เป็นหดตัวที่ 0.3% ในกรณีฐาน (จากประมาณการเดิมที่ 1.8%) และมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจไทยจะเกิด Technical Recession ในช่วงครึ่งแรกของปี
ในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ของปี เศรษฐกิจไทยมีโอกาสหดตัวทั้งในแบบ %YOY และ %QOQ sa เนื่องจากมีหลายปัจจัยรุมเร้า ได้แก่ การหดตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและภาคส่งออก ซึ่งจะส่งผลให้รายได้และการจ้างงานของแรงงานในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมลดต่ำลง ภัยแล้งที่รุนแรงกว่าปกติซึ่งกระทบต่อรายได้ของภาคเกษตร และงบประมาณจากภาครัฐที่มีแนวโน้มเบิกจ่ายได้ต่ำในช่วงไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการอนุมัติงบประมาณรายจ่าย
โดยคาดว่าการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐทั้งในส่วนของงบลงทุนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ จะเริ่มเข้าช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป ทั้งนี้ EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในช่วงปลายไตรมาส 3 ตามสมมติฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะทยอยกลับมาฟื้นตัวในช่วงดังกล่าว ตลอดจนมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ด้วยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ EIC มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง (25bps) ในการประชุมวันที่ 25 มีนาคมนี้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยในปี 2563 ที่มีแนวโน้มติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี (EIC ประเมินอยู่ที่ -0.2%) จะทำให้ความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) ในระยะข้างหน้าสูงขึ้น ทำให้ EIC มองว่า กนง. อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมสอดคล้องกับธนาคารกลางอื่นๆ ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้าเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อของไทยให้กลับสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
ทั้งนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง ขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศต่างๆ ในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 การประคับประคองเศรษฐกิจระยะสั้น และการวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากการแพร่ระบาดทั้งในไทยและต่างประเทศถูกควบคุมได้ภายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเร็วกว่ากรณีฐาน ก็จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและมูลค่าการส่งออกของไทยปรับดีขึ้นมากกว่ากรณีฐานได้เช่นกัน
สิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งดำเนินการคือการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทั้งในมิติการดูแลสุขภาพของประชาชน การดูแลแรงงานและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการวางรากฐานสำหรับอนาคตผ่านการเร่งลงทุนในการเพิ่มทักษะของแรงงานและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและการสาธารณสุขของไทย ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยหลังการระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์