×

กสศ. เปิดผลการดำเนินงาน 2564 พบปัญหาโควิดซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ ทำเด็กยากจนหลุดระบบการศึกษา

โดย THE STANDARD TEAM
28.12.2021
  • LOADING...
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

HIGHLIGHTS

1 min. read
  • เมื่อคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษพบว่ามีจำนวนสูงสุดนับแต่เคยมีการสำรวจ รายได้ของครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้คือลดลงเหลือ 1,094 บาทต่อเดือน เกิดปรากฏการณ์ ‘ยากจนเฉียบพลัน’
  • จากการให้ทุนเสมอภาค ผลการประเมินขั้นต้นของ กสศ. พบว่า กลุ่มที่เคยขาดเรียนเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 วัน ขาดเรียนลดลงเหลือสัปดาห์ละครึ่งวัน
  • โจทย์ความเหลื่อมล้ำมีปมผูกกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมสะสมมายาวนาน เมื่อมีผลกระทบจากโควิดเข้ามาซ้ำเติมยิ่งทำให้ปัญหาขยายกว้างมากขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรภาครัฐไม่เพียงพอ กสศ. จึงให้แนวทางการทำงานผ่านแผนกลยุทธ์ใหม่ 3 ปีจากนี้

วันที่ 27 ธันวาคม 2564 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยผลการดำเนินงาน กสศ. รายงานประชาชน ปี 2564 เข้าถึงและช่วยเหลือ 4 กลุ่มเป้าหมายลดเหลื่อมล้ำมากกว่า 2 ล้านคน ตั้งแต่ปฐมวัยถึงอุดมศึกษา ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสถานศึกษามากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ และประชากรนอกระบบการศึกษา ผ่านมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ครัวเรือนยากจนร้อยละ 15 และด้านล่างสุดของประเทศ แม้เรียนฟรีแต่มีโอกาสหลุดจากระบบ รวมถึงส่งต่อฐานข้อมูลนักเรียนยากจนหรือยากจนพิเศษรายคน ให้หน่วยงานต้นสังกัดสกัดเด็กหลุดออกจากระบบและเพิ่มโอกาสเรียนต่อระดับสูง

 

 

นพ.สุภกร บัวสาย รักษาการผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า ในปี 2564 กลุ่มเป้าหมายของ กสศ. ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่างต่อเนื่อง จากผลการคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษพบว่ามีจำนวนสูงสุดนับแต่เคยมีการสำรวจ รายได้ของครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้คือลดลงเหลือ 1,094 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับ 1,159 บาทต่อเดือน ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด จนเกิดปรากฏการณ์ ‘ยากจนเฉียบพลัน’ ส่งผลให้นักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษในภาคเรียนที่ 1/2564 มีจำนวนถึง 1,244,591 คน หรือสูงสุดนับแต่ปีการศึกษา 2561 หรือเพิ่มขึ้น 250,163 คน หรือร้อยละ 20 เทียบกับภาคเรียนที่ 1/2563 ที่ยังไม่มีการระบาดของโควิด ความเสี่ยงของเด็กนักเรียนยากจนที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาเห็นได้ชัดในกลุ่มช่วงชั้นรอยต่อ โดยเฉพาะระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดของการศึกษาภาคบังคับ

 

นพ.สุภกรกล่าวต่อไปว่า จากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปี 2564 จำนวน 6,084.76 ล้านบาท กสศ. สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศจำนวน 1.35 ล้านคน เป็นนักเรียนยากจนพิเศษโดยตรงราว 1.2 ล้านคน ด้วยทุนเสมอภาคในอัตรา 3,000 บาทต่อคนต่อปีการศึกษา ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก แต่มุ่งหวังเพื่อบรรเทาปัญหาให้กับครอบครัวยากลำบากร้อยละ 15 ล่างสุดของประเทศ แม้มีมาตรการเรียนฟรี 15 ปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและค่าครองชีพที่สูงขึ้น จนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา

 .

“กสศ. ใช้คำว่าทุนเสมอภาค เพื่อสื่อว่าเป็นการที่ประชาชนมีส่วนรวมเสียภาษีเกื้อหนุนครอบครัวที่ยากลำบากที่สุด และทุนเสมอภาคมิใช่เป็นเงินสงเคราะห์ แต่เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข ต้องรักษาอัตราการมาเรียนให้มากกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน และมีการติดตามข้อมูลพัฒนาการให้สมวัยตามเกณฑ์ของกรมอนามัย ผลการประเมินขั้นต้นของ กสศ. พบว่า กลุ่มที่เคยขาดเรียนเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 วัน ขาดเรียนลดลงเหลือสัปดาห์ละครึ่งวัน และในช่วงสถานการณ์โควิด ปีการศึกษา 2563-2564 นักเรียนทุนเสมอภาคกว่าร้อยละ 95 ยังคงอยู่ในระบบการศึกษา ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา กสศ. ได้จัดสรรทุนเสมอภาคภาคเรียนที่ 2/2564 ให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษจำนวน 1,247,451 คน วงเงินงบประมาณ 1,978,264,500 บาท” นพ.สุภกรกล่าว

 

นพ.สุภกรกล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มนักเรียนยากจนอีกราว 800,000 คน ที่ กสศ. ได้ทำงานร่วมกับครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศ ในการคัดกรองสถานะความยากจน แต่งบประมาณที่ กสศ. ได้รับจากรัฐบาลแต่ละปียังไม่เพียงพอ กสศ. จึงสนับสนุนข้อมูลผลการคัดกรองรายบุคคลให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดเพื่อช่วยเหลือผ่านเงินปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจนในโครงการเรียนฟรี 15 ปี ระดับประถมศึกษา 1,000 บาทต่อคนต่อปีการศึกษา และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3,000 บาทต่อคนต่อปีการศึกษา ซึ่งคิดเป็นเงินเพียง 5-15 บาทต่อวันเท่านั้น และเป็นอัตราที่ไม่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับปัจจุบันมากว่า 12 ปี ตั้งแต่มีโครงการเรียนฟรี 15 ปี เมื่อปีการศึกษา 2552 

 

ดังนั้น กสศ. และหน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษา ได้เสนอแผนการใช้เงินประจำปีงบประมาณ 2566 โดยขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมกลุ่มนักเรียนอนุบาล และมัธยมศึกษาตอนปลายที่เข้าเกณฑ์ยากจนและยากจนพิเศษมากกว่า 240,000 คน 

 

 

นพ.สุภกรยังกล่าวด้วยว่า การช่วยเหลือด้วยทุนเสมอภาคเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนไม่ให้วิกฤต ในฐานะที่ กสศ. เป็นหน่วยงานสาธารณะที่รับผิดชอบต่อประชาชน ต้องมุ่งแก้ปัญหาให้ลึกขึ้นไปอีกจากโจทย์ที่ต้นทาง จึงได้วิเคราะห์พบว่าบรรดาเด็กและเยาวชนกลุ่มขาดโอกาสแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้มีเป้าหมายการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

กลุ่ม 1 นักเรียนระดับการศึกษาภาคบังคับ จำเป็นต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านการพัฒนาครูและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดย กสศ. ทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และ 11 เครือข่ายปฏิรูปการศึกษาทั่วประเทศ พัฒนาโรงเรียนขนาดกลางสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวม 727 แห่ง ให้เป็นต้นแบบโรงเรียนพัฒนาตนเอง นักเรียนทุกคนมีโอกาสพัฒนาตนเองตามศักยภาพ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 22,303 คน มีนักเรียนได้รับประโยชน์ จำนวน 204,680 คน 

 

กลุ่ม 2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ซึ่งจะอยู่ในระบบการศึกษาอีกเพียง 1-3 ปี หลังจากนั้นจะทยอยออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยมีเพียงร้อยละ 11.54 ของนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเท่านั้นที่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา จึงต้องช่วยส่งเสริมความพร้อมการทำงาน กสศ. พัฒนารูปแบบการให้ทุนการศึกษาระดับสูง ได้แก่ ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น รวมทั้งสิ้น 8,019 ทุน เป็นทุนการศึกษาใหม่ 2,714 ทุน และทุนการศึกษาสะสม 5,305 ทุน โดยในปีนี้มีนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงสำเร็จการศึกษาจำนวน 1,106 คน กว่าร้อยละ 67 ของนักศึกษามีผลการเรียนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 สามารถก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ     

 

นพ.สุภกรกล่าวอีกว่า จากการเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาในกลุ่มนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษระหว่าง กสศ. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พบว่า แม้ในสถานการณ์โควิดที่รุนแรงในปีการศึกษา 2564 ยังมีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษรวม 11,541 คน จากทั้งหมดประมาณ 100,000 คน หรือร้อยละ 11.54 ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนผ่านการคัดเลือกของ TCAS64 เข้าสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้ กสศ. ได้ส่งต่อข้อมูลให้กับทาง ทปอ. เพื่อติดตามและพิจารณาให้ทุนการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ แก่นักเรียนช้างเผือกเหล่านี้อย่างเป็นระบบ 

 

ในระยะยาวจะเกิดการบูรณาการฐานข้อมูลรายบุคคลของเด็กและเยาวชนอายุ 3-25 ปี ในครัวเรือนยากจนที่สุดร้อยละ 15-20 ของประเทศ ที่อยู่ใต้เส้นความยากจนของสภาพัฒน์มากกว่า 2 ล้านคน โดยฐานข้อมูลนี้นอกจากจะสามารถใช้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ยังสามารถช่วยเหลือ สนับสนุน ให้เด็กเยาวชนกลุ่มนี้ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาและสามารถศึกษาต่อจนถึงระดับสูงสุดตามศักยภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่าระบบข้อมูลสารสนเทศที่ กสศ. ร่วมพัฒนากับหน่วยงานต้นสังกัดด้านการศึกษามากกว่า 5 กระทรวง จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาไปสู่ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาของประเทศไทยได้ในอนาคต

 

 

กลุ่ม 3 เด็กนอกระบบระดับการศึกษาภาคบังคับ เป็นกลุ่มที่นำกลับคืนสู่ระบบการศึกษาได้ยากที่สุด โดยปีที่ผ่านมา กสศ. ร่วมกับองค์กรพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ 74 จังหวัด พัฒนาระบบและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ด้วยโมเดลการศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาและความต้องการเป็นรายบุคคลแบบครบวงจร ในปีงบประมาณ 2564 มีเด็กนอกระบบได้รับการช่วยเหลือรวม 43,410 คน พร้อมกับส่งเสริมครูนอกระบบการศึกษาจำนวน 3,471 คน

 

กลุ่ม 4 เยาวชน (อายุ 15-24 ปี) ที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้ว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนสะสมมากและแก้ไขปัญหายากที่สุด ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาดแรงงานไร้ฝีมือนอกระบบ มีรายได้ต่ำ กลุ่มเป้าหมายนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ที่จะพัฒนาทักษะอาชีพ เบื้องต้น กสศ. ร่วมกับหน่วยพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน 117 พื้นที่ทั่วประเทศ พัฒนาโมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อยกระดับทักษะอาชีพประมาณ 8,561 คน ให้มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ 

 

นพ.สุภกรกล่าวด้วยว่า โจทย์ความเหลื่อมล้ำมีปมผูกกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมสะสมมายาวนาน เมื่อมีผลกระทบจากโควิดเข้ามาซ้ำเติมยิ่งทำให้ปัญหาขยายกว้างมากขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรภาครัฐไม่เพียงพอ บอร์ดบริหาร กสศ. จึงให้แนวทางการทำงานผ่านแผนกลยุทธ์ใหม่ 3 ปีจากนี้ มุ่งเน้นให้ กสศ. มีบทบาทเหนี่ยวนำความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ครอบคลุมถึงนโยบายการศึกษาของประเทศลงไปถึงระบบงานระดับหน่วยงานและพัฒนาฐานข้อมูล งานวิชาการคุณภาพสูงที่สามารถไปกระตุ้นหรือชี้เป้าให้กับเครือข่ายองค์กรพันธมิตรที่เป็นเจ้าของงบประมาณอีกกว่า 99% เพื่อให้การใช้จ่ายด้านการศึกษารวมกว่า 800,000 ล้านบาท ก่อประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ตรงจุด 

 

นอกจากนี้ กสศ. ยังมุ่งเน้นทำงานกับท้องถิ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาและบูรณาการทรัพยากรจากทุกแหล่งในพื้นที่ ในปี 2564 มีจังหวัดจากทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการนำร่องจำนวน 20 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี นครราชสีมา กาญจนบุรี นครนายก ระยอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา และสงขลา 

 

 

นพ.สุภกรกล่าวด้วยว่า กสศ. ขอขอบคุณบุคคลสาธารณะหลายท่าน ประชาชนกว่า 20,000 คน และหน่วยงานภาคเอกชนมากกว่า 200 องค์กร ที่ร่วมกับ กสศ. สนับสนุนทรัพยากรทั้งในรูปแบบเงินบริจาค จิตอาสา การแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญ การริเริ่มกิจกรรม หรือโครงการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

 

กสศ. ยังได้ร่วมกับ 16 องค์กรตั้งต้น ทั้งภาคเอกชนและประชาสังคม ประกอบด้วย มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, มูลนิธิพุทธรักษา, มูลนิธิ ธนินท์ เทวี เจียรวนนท์, มูลนิธิยุวพัฒน์, มูลนิธิก้าวคนละก้าว, มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิไทยพีบีเอส, มูลนิธิเอสซีจี, มูลนิธิเสริมกล้า, เคพีเอ็มจี ประเทศไทย, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), กลุ่มธุรกิจ TCP และบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

 

เพื่อร่วมประกาศเจตนารมณ์ของเครือข่าย ALL FOR EDUCATION เพื่อร่วมระดมทรัพยากร ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ นำการศึกษาที่มีคุณภาพไปให้ถึงเด็กทุกคนอย่างเสมอภาค องค์การสหประชาชาติชี้ว่าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนต้องมีทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs 17) หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนา หรือ Partnership for the Goals

 

สามารถอ่านรายละเอียดแผนกลยุทธ์ กสศ. 2565-2567 ได้ที่ www.eef.or.th/plan-strategy/

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X