ระบบ การศึกษาไทย กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่ออัตราการเกิดของประชากรไทยปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 462,240 คน ต่ำกว่าปีก่อนกว่า 50,000 คน สะท้อนแนวโน้มเดียวกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ที่ต้องเผชิญกับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’
ความท้าทายนี้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาครั้งใหญ่ เพื่อรองรับโลกแห่งอนาคตที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทสำคัญ
“แนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายสำคัญของการให้บริการทางการศึกษาทั้งในภาครัฐและเอกชน” พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ระบุ พร้อมขยายความว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานราว 30,000 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนประมาณ 120 คนต่อแห่งถึง 15,000 แห่ง
สิ่งที่ต้องจับตามองคือการศึกษาไทยยุคใหม่กำลังเผชิญ 6 ความท้าทายหลักในปัจจุบัน
ประการแรก รูปแบบการเรียนรู้ไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน เนื่องจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป โลกปัจจุบันต้องการรูปแบบที่ยืดหยุ่น เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสื่อและเทคโนโลยีหลากหลาย
ประการที่สอง บทบาทครูเปลี่ยนจาก ‘ผู้สอน’ เป็น ‘ผู้สนับสนุนการเรียนรู้’ ครูไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้อีกต่อไป แต่ต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่สร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
ประการที่สาม เทคโนโลยีและ AI กลายเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ด้วยการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ เครื่องมือดิจิทัล และแพลตฟอร์มออนไลน์ เทคโนโลยีไม่ใช่แค่ ‘ตัวช่วย’ แต่เป็น ‘สื่อกลาง’ สำคัญที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงการศึกษาได้เท่าเทียม
ประการที่สี่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เด็กนักเรียน แต่ทุกคนต้องเป็น ‘นักเรียนตลอดชีวิต’ แม้จะทำงานแล้วก็ยังต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
ประการที่ห้า ภาษาต่างประเทศและทักษะชีวิตสำคัญไม่แพ้ปริญญา ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่สเปน กำลังกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารและทำงานในโลกยุคใหม่
ประการสุดท้าย สิ่งแวดล้อม จริยธรรม และ ‘กรีนเอดูเคชัน’ ต้องมาคู่กัน การศึกษาไม่ได้เน้นแค่ความทันสมัย แต่ยังต้องปลูกฝังเรื่องจริยธรรมและการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
พิเชฐกล่าวว่า “แนวทางเหล่านี้จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการในระบบการศึกษาของคนรุ่นใหม่ที่อาจมองว่าไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา แต่จะต้องมีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต”
ทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ผลักดันแนวทาง Happy Learning เพื่อลดภาระของครูและนักเรียน และเพิ่มความสุขในการเรียนรู้ โดยเน้นการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และหลากหลาย
- ลดภาระที่ไม่จำเป็น ให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น นักเรียนมีเวลาคิดมากขึ้น
- เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
- ใช้ AI เสริมการสอนภาษา เช่น การใช้ระบบสอนภาษาอังกฤษหรือจีนแบบโต้ตอบได้ ช่วยให้โรงเรียนที่ไม่มีครูเฉพาะทางยังสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้
รวมถึงเตรียมผลักดันการเรียนภาษาสเปนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ด้วยความร่วมมือจากประเทศต้นทาง ทั้งการส่งครูสอนภาษาเข้ามาและการจัดโปรแกรมเรียนรู้ร่วมกัน
ขณะที่ ฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ของ Messe Stuttgart มองว่า ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบการศึกษาไม่สามารถยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปห้องเรียนอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้และสร้างความเท่าเทียมในการศึกษา
ดังนั้นเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับอนาคต จึงจะมีการจัดงาน didacta asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในปีนี้จะขยายพื้นที่จัดงานให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้จัดแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงานกว่า 4,000 ราย
ภาพ: Meepian Graphic / Shutterstock