‘กกร.’ ห่วงเศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายเปราะบาง! ‘นักท่องเที่ยวจีน-กำลังซื้อหด-ความท้าทายภาษีสหรัฐฯ‘ แนะรัฐ 2 ทางรอด Unlocking-Transforming เจาะอุตสาหกรรมใหม่ AI-พลังงานสะอาด รับบริบทโลกใหม่ ปลุกศักยภาพ Reinvent Thailand ให้ไทยกลับมาเป็น ‘พี่ใหญ่อาเซียน’
‘หอการค้า’ ห่วงไทยตกขบวนโลกใหม่
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 ในหัวข้อ The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยไปทางไหน? โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
เสวนาในหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน ว่า การมีรัฐบาลที่มีอำนาจในการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ดีกว่าการมีรัฐบาลรักษาการ
แม้รัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินนโยบายภายในกรอบเวลาเพียง 4 เดือน แต่นโยบายที่วางแผนไว้ ก็เป็นทิศทางที่ครบถ้วนแล้ว สำหรับการดำเนินงานในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ดร.พจน์ ระบุว่า การค้าและการท่องเที่ยวยังเป็นจุดเปราะบางหลักของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการเจรจา FTA ทั้งกับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ที่ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการ
ทั้งนี้ หากสามารถเจรจาการค้าได้ทันภายในต้นปีหน้า 2569 เชื่อว่าจะช่วยดึงภาคการส่งออกให้ฟื้นกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ซึ่งต้องจับตาดูว่า สถานการณ์ทางการเมืองภายในและสหรัฐฯ เช่น การยุบสภา จะทำให้การผ่านร่าง FTA ในสภายุโรปต้องใช้เวลานานขึ้นมากน้อยเพียงไร
ดร.พจน์ ระบุอีกว่า การท่องเที่ยวยังคงเปราะบาง ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะ ‘นักท่องเที่ยวจีน’ ที่หายไปเป็นจำนวนมากในปีนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ชวนวิเคราะห์ เหตุใดสินค้าจีนทะลัก ส่งออกเริ่มหมดแรง แบกเศรษฐกิจไทยไม่ไหว แม้แต่ ‘ข้าวไทย’ ยังเสี่ยงพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งเวียดนามและอินเดีย
- หรือภาพจำ ‘สยามเมืองยิ้ม’ เรากำลังหายไป? ทำไมไทยแพ้เกมท่องเที่ยว จีน-เกาหลีใต้-รัสเซีย บินข้ามไทยไปเวียดนาม-ญี่ปุ่นแทน
- เศรษฐกิจไทยซึม นักท่องเที่ยวจีนไม่มา กำลังซื้อยังทรุดจากปัญหาหนี้ครัวเรือน
“ ไทยจำเป็นต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวของจีนเริ่มตั้งแต่ตุลาคม-มีนาคม หากพลาดรอบนี้ รายได้ทั้งปีอาจไม่ต่างจากปีก่อน ” ดร.พจน์ ย้ำ
ดังนั้น จึงเสนอให้รัฐบาลเดินหน้า ‘ฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่’ ผ่าน 2 แนวทางสำคัญ
- Unlocking: ปลดล็อกศักยภาพของประเทศ ยกเลิกกฎหมายที่ล้าหลัง และดูแลการเข้าถึงสินเชื่อฐานราก คืนสภาพคล่องและปลดล็อกการค้า
- Transforming: ปรับตัวเชิงระบบเพื่อรับโลกใหม่ ทั้ง AI, กำแพงการค้า และพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ ดร. พจน์ยังชี้อีกว่า คอร์รัปชัน นับเป็นปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้อย่างโปร่งใส และเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชัน
สอท. แนะไทยเร่งปรับตัว ลดพึ่งส่งออกตลาดเดิม-ท่องเที่ยว
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงท้ายปีของไทยยังคง ‘เปราะบาง’ โดยคาดว่า GDP ไตรมาส 3 จะเติบโตเพียง 1.7% และไตรมาส 4 อาจเหลือแค่ 0.3% ทำให้ภาพรวมทั้งปี GDP ไทยอาจอยู่แค่ 1.8 – 2.2% เท่านั้น
ทั้งนี้ เกรียงไกร ระบุว่า ไทยต้องระมัดระวังพึ่งพาภาคการส่งออกตลาดเดิม ๆ และการท่องเที่ยวที่มากเกินไป
เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกกว่า 60% ของ GDP แต่ด้วยสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นเมื่อเทีประเทศคู่แข่งประเทศอื่นๆ
“สถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ยังทำให้การท่องเที่ยวของไทยแพงขึ้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งลดความน่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเดินทางมาไทยอย่างมาก ”
ดังนั้น จึงเสนอให้ภาคอุตสาหกรรม เร่งเปลี่ยนภาคการผลิต สู่ New S-Curve Industries ที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิม โดยต้องปรับจากเดิมที่คอยรับผลิตสินค้า (OEM) ไปสู่การรับจ้างออกแบบ (ODM) และผลิตด้วยตัวเอง (OBM) ตลอดจน Upskill-Reskill แรงงาน เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่
ผ่านแนวทาง ‘4 Go’
เพื่อพาไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง ดังนี้
Go Digital and AI: ต้องทำเรื่อง Upskill Reskill อย่างเร่งด่วนเพื่อระยะยาว
Go Innovation: สร้างมูลค่าเพิ่มแทนการผลิตต้นทุนต่ำ
Go Global: เปิดตลาดใหม่ผ่าน FTA
Go Green: ปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเป็น ปี 2050
‘ผยง’ ชู Reinvent Thailand กลับมาเป็น ‘พี่ใหญ่ของอาเซียน’
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย มองว่า ไตรมาส 4 คือ จุดตั้งต้นของความเชื่อมั่น ทั้งของนักลงทุน ภาคธุรกิจ และประชาชน คาดว่า หากนโยบาย ‘Quick Big Win’ ของรัฐบาลเริ่มเดินได้ทัน อาจช่วยดัน GDP Q4 โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.3% รวมเป็น 0.6%
ทั้งนี้ ผยงชี้ให้เห็นถึงความสามารถการแข่งขันเพื่อนบ้าน และความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค
ในอดีตประเทศไทยเคยเป็น ‘พี่ใหญ่ของอาเซียน’ แต่ปัจจุบัน แม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยก็ยังมีขนาดเล็กกว่า ธนาคารของเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
นอกจากนี้ ผยงยังชี้อีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ไทยอาจเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนที่ 4.5% เพราะ ‘ไม่มีใครอยากลงทุนในไทย’
โดยมี 3 สาเหตุ
- 65% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มี P/B ต่ำกว่า 1
- เงินหลายล้านล้านบาทไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ
- แม้ระบบธนาคารจะมีสภาพคล่องสูงถึง 5 ล้านล้านบาทใน Repo แต่ ‘เงินกลับไหลไปไม่ถึงคนตัวเล็ก’
ผยง เปรียบเทียบว่า SME ซึ่งจ้างงาน 75% ของประเทศ กลับมีรายได้เพียง 30% ของ GDP ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เพียง 1% กลับมีรายได้สูงถึง 65% ของ GDP
เมื่อประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ จากการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างครอบคลุม ส่งผลให้ครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อย ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้ตามไปด้วย
ทั้งนี้ ผยงเสนอให้การขับเคลื่อนทั้งหมดอยู่บนฐานของ เทคโนโลยี ความยั่งยืน และหลักนิติธรรม (Rule of Law) พร้อมเปิดเผยว่า กกร. เตรียมจัดทำ ‘3 ดัชนีโปร่งใส’ เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างรัฐและเอกชน
โดยมุ่งเน้นไปที่ 1.เศรษฐกิจนอกระบบ 2.หนี้นอกระบบ 3. การคอร์รัปชัน ซึ่งจุดประสงค์หลักของการจัดทำ 3 ดัชนีโปร่งใส คือการนำตัวเลขเหล่านี้มาใช้เป็นฐาน ในการถกเถียงในวงสาธารณะที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่อารมณ์ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่มีเหตุผลและความสามัคคี
นอกจากนี้ ผยงยังเสนอแนะการเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ตลอดจนการเพิ่มแรงจูงใจให้คนเข้าระบบภาษี ซึ่งในโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ถือเป็นการริเริ่มที่ดี