Q: ผมมีงานที่สบาย ไม่มีอะไรกดดัน แต่ที่จริงผมรู้สึกเบื่องานของตัวเองเหลือเกินครับพี่ อยู่ตรงนี้มาหลายปีจนรู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่ได้พัฒนาทักษะอะไรใหม่ๆ ไม่มีความก้าวหน้า ทุกวันเหมือนมาทำงานให้หมดวัน หายใจทิ้งไปวันๆ รอให้ถึงวันที่เงินเดือนออก ใจจริงผมอยากลาออกไปทำอะไรใหม่ๆ แต่ก็กังวล เพราะอยู่ตรงนี้มานาน ไม่มีทักษะอะไรเพิ่มเติมเท่าไร แล้วจะมีที่ไหนรับเข้าทำงาน อีกอย่างคือผมทำงานสบายมาจนเคยตัว ถ้าไปเริ่มอะไรใหม่ๆ ก็กลัวเหมือนกันว่าจะรับความกดดันได้ไหม จะปรับตัวได้หรือเปล่า ผมควรอยู่สบายๆ แบบนี้แต่ไม่มีความก้าวหน้าต่อไป หรือควรลาออกไปทำอะไรใหม่ๆ ดีครับ
A: ถ้างานนี้สบายจริง น้องคงไม่รู้สึกไม่สบายใจแบบนี้หรอกมั้งครับ ฮ่าๆ ไม่มีงานไหนที่เพอร์เฟกต์ ขนาดงานที่เหมือนจะสบาย ไม่มีอะไรต้องกดดัน แต่ก็มิวายทำให้คนอยู่ไม่เป็นสุขได้ งานสบายแต่ไม่เป็นสุขมีจริงครับ แต่พี่เชื่อว่าเรื่องราวของน้องจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะเชื่อเถอะว่ามีหลายคนอยากได้งานสบายๆ ไม่มีความกดดัน เดี๋ยวเรามาดูอีกด้านหนึ่งของความสบายกันครับ
การอยู่สบายมากๆ นานๆ ไปก็อาจจะเฉาได้เหมือนกัน เพราะไม่มีความตื่นเต้น ไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ความสบายนี่มีประมาณหนึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่มีมากไปจะกลายเป็นกับดักที่น่ากลัวมาก เพราะเราจะสบายจนไม่อยากทำอะไรต่อ ผมเปรียบเทียบกับการนอนก็ได้ เวลานอนเราสบายใช่ไหมครับ นอนน้อยไปเราก็ไม่สบาย แต่พอนอนมากไป แทนที่ตื่นมาจะรู้สึกสดชื่นกลับเฉากว่าเดิม ไม่มีชีวิตชีวา ร่างกายรวน อ่อนแอ เพราะฉะนั้นแม้แต่ความสบายก็ต้องมีความพอดีของมัน นึกถึงคำพูดของแม่ผมเลยครับ ตอนเด็กๆ เวลาขี้เกียจ ไม่ยอมลุกจากเตียง เอาแต่นอนทั้งวันเพราะติดสบาย แม่จะบอกว่าเดี๋ยวตอนตายได้มีเวลานอนอีกยาวเลย นั่นแหละครับ ลุกเลย!
ก็เหมือนอย่างที่น้องรู้สึกครับว่าตอนนี้สบายเกินไปหรือเปล่า สบายเกินไปจนไม่ได้เพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ สบายจนไม่ได้พัฒนา เราจะอยู่กับชีวิตที่ไม่มีความก้าวหน้าเลยได้อย่างไร ลองคิดดูว่าขนาดตอนเป็นเด็ก ธรรมชาติยังสร้างให้เราไม่หยุดนิ่ง ไม่นอนอย่างเดียว แต่สร้างให้เราคลาน ลุก เดิน วิ่ง กระโดดขึ้นมาตามลำดับ ผมเชื่อว่าธรรมชาติสร้างมนุษย์มาให้มีพัฒนาการ และถ้าเราเชื่อในศักยภาพของตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่าง เราจะทำได้ทุกอย่าง
อุปสรรค ความลำบาก ความกดดัน เป็นบทเรียนอย่างดีที่เตรียมความพร้อมให้กับชีวิตเรา ไม่มีใครรู้ครับว่าวันข้างหน้าเราจะไปเจออะไร ที่เราสุขสบายอยู่นี้เราก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าจะอยู่สบายไปได้นานขนาดไหน ถ้าวันหนึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเข้ามา ถ้าเราไม่มีภูมิคุ้มกันให้กับชีวิตมาก่อน ไม่เคยผ่านอุปสรรคมาก่อน เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร
ที่วันนี้เราสบาย ไม่มีอะไรต้องกดดัน คำถามก็คือน้องคิดว่าเราจะสบายแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันครับ เมื่องานที่ทำอยู่มันไม่ได้ทำให้เก่งขึ้น ไม่ได้ทำให้เราได้แสดงศักยภาพเท่าไร มันก็เลยไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ไม่มีใครให้เราได้มองเป็นตัวอย่างที่อยากจะเป็น พอไม่มีศักยภาพ เราก็จะเป็นคนทำงานที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์กับองค์กร เวลาผ่านไปแค่ไหน ความสามารถเราก็ไม่เพิ่มขึ้น จะด้วยระบบการทำงานไม่เอื้อให้เราได้พัฒนาฝีมือหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พอเราไม่มีประโยชน์กับองค์กร เราก็จะหมดความหมายได้ง่าย ลองนึกเล่นๆ ว่าถ้าเราเป็นแรงงานที่ฝีมือไม่พัฒนาแบบนี้ (เพราะถูกระบบรังแก) วันหนึ่งมี AI ทำงานได้ดีกว่าเรา แถม AI นี่เรียนรู้ด้วยตัวเองได้เร็วและพัฒนาแบบไม่มีขีดจำกัดด้วย ทีนี้ที่เราเคยอยู่สบายคงไม่สบายแล้วล่ะครับ ที่ยก AI มาเล่านี่ไม่ใช่ว่ากำลังจะเกิดนะครับ มันเกิดขึ้นแล้ว! และถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา เราจะเสียดายได้นะครับว่าที่ผ่านมามัวสบายจนไม่มีความรู้และประสบการณ์อะไรเลย
ยิ่งตอนนี้น้องยังอายุไม่มาก อย่าเพิ่งกลัวลำบาก อย่าเพิ่งติดกับความสบาย รีบตักตวง เรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะชีวิตเข้าไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะปรับตัวไม่ได้ คิดใหม่ว่าเราต้องปรับตัวให้ได้ แล้วเราจะอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ต้องผลักดันตัวเองให้พัฒนาอยู่เสมอ พี่แนะนำว่าถ้ากังวลว่างานที่ทำอยู่ทำให้ไม่มีทักษะใหม่ๆ จนเรากลัวว่าที่ใหม่จะไม่รับเข้าทำงาน ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่าที่ทำงานไม่ใช่โรงเรียนเดียวของเรา ถ้าดูทรงแล้วที่ทำงานเราจะไม่สอนอะไรใหม่ๆ เราออกไปหาความรู้ข้างนอกเตรียมตัวไว้ก่อน จะเรียนเพิ่มเติมก็ยิ่งดี พอเรียนแล้วน้องจะได้เห็นโลกกว้างขึ้น ได้รู้จักคนมากขึ้น ที่สำคัญมันคือการเตรียมตัวให้มีความมั่นใจว่าตัวเองมีทักษะความรู้มากขึ้นแล้ว ทีนี้ถ้าจะลองสมัครงานใหม่ น้องก็มีความรู้ติดตัวมาประมาณหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการลดความกังวลของน้องไปในตัว
แทนที่จะปล่อยตัวเองให้สบายจนเฉาและไม่มีคุณค่า ไหนๆ ความสบายก็ทำให้น้องมีเวลาแล้ว ลองใช้เวลาสำรวจไหมครับว่างานที่ทำอยู่นี้จะดีขึ้นได้อย่างไร ไม่แน่นะครับว่าน้องอาจจะเจอว่าที่สบายๆ อยู่นี้ จริงๆ แล้วมันมีอีกตั้งหลายวิธีที่ทำให้งานดีขึ้นกว่าเดิมนี่นา แล้วพอน้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับงานเดิมๆ ที่เหมือนจะน่าเบื่อได้ เมื่อนั้นความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานก็จะเกิด หรือเป็นไปได้ไหมที่น้องจะเดินไปหาหัวหน้าแล้วบอกว่า พี่ครับ ผมอยากได้ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน ผมอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์กว่าเดิม ผมอยากใช้ศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่ แล้วดูครับว่าองค์กรจะมีช่องทางในการพัฒนาน้องอย่างไรบ้าง พนักงานที่มีใจอยากเติบโตแบบนี้ พี่ว่าองค์กรก็น่าจะเห็นความสำคัญนะครับ
แต่ถ้าดูทรงแล้วน้องเห็นว่าระบบการทำงานขององค์กรไม่เอื้อให้น้องได้ทำอะไรมาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมองไปแล้วตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มีจะให้ขยับแล้ว พี่อยากแนะนำให้ลองพิจารณาหางานใหม่ไปด้วย เพราะถ้างานที่ทำอยู่ไม่ทำให้เราก้าวหน้าได้แล้ว ไปโตที่อื่นดีกว่า ต่อให้เป็นงานที่สบาย แต่ถ้ารู้สึกว่าเราแค่มาทำงานแล้วหายใจทิ้งไปวันๆ โดยไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองหรือเป็นประโยชน์กับองค์กรมากขึ้น คงไม่ใช่การทำงานที่เป็นผลดีกับทั้งตัวเราและองค์กรแล้วล่ะครับ
ตะกายขึ้นมาจากกับดักความสบายกันดีกว่าครับ
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์