ปกติแล้วมนุษย์ทุกคนมีระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ แต่เมื่อไรที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือลดลง ย่อมเสี่ยงที่เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เช่น ไวรัส แบคทีเรีย
นี่อาจไม่ใช้ข้อสันนิษฐานที่ถูกต้อง แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่าทำไมคนที่ดูแลร่างกายอย่างดี กินอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย แต่ยังเจ็บป่วยง่ายอยู่ดี หรือการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้ร่างกายอาจต้องย้ายไปโฟกัสที่ลำไส้ เพราะ 70% ของภูมิคุ้มกันร่างกายอยู่ที่ลำไส้
ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เป็นอวัยวะที่สำคัญมาก เพราะมีต่อมน้ำเหลืองมากมาย โดยเฉพาะลำไส้เล็กเป็นจุดที่สารอาหารจากสิ่งที่เรากินเข้าไปเกือบทั้งหมดถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงกำจัดของเสียออกจากร่างกาย หากสุขภาพลำไส้แย่ย่อมส่งผลกระทบต่อการดูดซึมสารอาหาร การขับถ่ายไม่ดี เกิดการหมักหมม จุลินทรีย์ก่อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
เติมจุลินทรีย์ชนิดดีเข้าสู่ร่างกาย = สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ว่ากันว่าจุลินทรีย์ในร่างกายมนุษย์ไม่ใช่แค่ทำให้เราขับถ่ายดีขึ้น แต่คือตัวการบอกว่าสุขภาพร่างกายเราเป็นแบบไหน เหตุผลที่ร่างกายจำเป็นต้องมีจุลินทรีย์ชนิดดี เพราะมันจะช่วยสร้างกรดแลกติก คอยหมักกากใยอาหารจนได้เป็นกรดไขมันสายสั้นหลากหลายชนิด ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะแบคทีเรียตัวร้ายที่ทำให้เกิดโรคในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำความสะอาดลำไส้ ปรับสมดุลระบบขับถ่าย
ถ้าลำไส้ไม่มีจุลินทรีย์ตัวดี ร่างกายจะไม่สามารถย่อยสลายสารอาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไปจนถึงการเปลี่ยนสารอาหารบางชนิดหรือสารพิษในร่างกายไปเป็นวิตามิน กรดอะมิโนบางชนิด และกรดไขมันที่จำเป็นต่อลำไส้ แม้ว่าร่างกายของเราจะมีจุลินทรีย์ชนิดดีอยู่ แต่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุที่มากขึ้น การกินอาหารไม่มีประโยชน์ พักผ่อนน้อย ความเครียด และการกินยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้จุลินทรีย์ชนิดดีน้อยลง ภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณก็น้อยลงด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
การเติมจุลินทรีย์ชนิดดีเข้าสู่ร่างกายจึงเป็นวิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกวิธีหนึ่ง
Probiotic จุลินทรีย์ฮีโร่ที่ร่างกายต้องการ
เหตุผลที่วงการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการยกให้จุลินทรีย์ชนิดดีอย่างโพรไบโอติกเป็นสุดยอดจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีส่วนช่วยให้ลำไส้แข็งแรง ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียตัวร้าย และฟื้นฟูสมดุลแบคทีเรียที่มีประโยชน์ขึ้นมาแทน ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุได้ดีขึ้น ด้วยคุณสมบัติของโพรไบโอติกที่ทนต่อกรดและด่าง จึงไม่ย่อยสลายและไม่ถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่สามารถเกาะบริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้ แล้วผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีออกไปผ่านระบบขับถ่าย
การเติมโพรไบโอติกให้กับร่างกายทำได้ง่ายๆ พบในอาหารหลากชนิด เช่น ชีส เต้าเจี้ยว ถั่วหมัก กิมจิ นมเปรี้ยว และโยเกิร์ต หนังสือ The Diet Myth ที่เขียนโดย ทิม สเปกเตอร์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาพันธุศาสตร์จาก King’s College London หยิบยกงานวิจัยเกี่ยวกับโพรไบโอติกที่อยู่ในโยเกิร์ต โดยกลุ่มนักวิจัยจากมอนทรีออล ได้ทำการทดสอบในผู้ป่วยที่มีคอเลสเตอรอลสูงโดยให้กินโพรไบโอติกในโยเกิร์ตตลอด 2 สัปดาห์ ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จึงทดลองนำโพรไบโอติกชนิดเดียวกันใส่ในแคปซูลให้กลุ่มตัวอย่างเดิมกินต่ออีก 9 สัปดาห์ พบว่าไขมันในเลือดที่เป็นอันตรายลดลง 10% และมีไขมันชนิดดีเพิ่มขึ้น
จะกิน ‘โยเกิร์ต’ ทั้งที ต้องกินให้ดีและได้ประโยชน์เต็มๆ
ตอนนี้เข้าใจตรงกันแล้วว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการเติมโพรไบโอติกให้กับร่างกายแค่กินโยเกิร์ตเป็นประจำ ประเด็นคือแล้วควรเลือกกินโยเกิร์ตแบบไหนดี เนื่องจากโพรไบโอติกก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ถ้าคุณพุ่งเป้าไปที่การปรับสมดุลลำไส้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน คงต้องหลีกทางให้กับ DUTCHIE Bio ที่มีโพรไบโอติกกว่าสองหมื่นล้านตัว! และยังเป็นโพรไบโอติกสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับและนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในโยเกิร์ต ได้แก่ B.LACTIS (Bifidobacterium lactis) สายพันธุ์ที่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร และมีชีวิตอยู่ในลำไส้ได้นานกว่าจุลินทรีย์ทั่วไป ช่วยย่อยอาหาร ลดการอักเสบ และ LGG (Lactobacillus rhamnosus GG) สายพันธุ์ที่เก่งเรื่องการเกาะติดกับเยื่อบุลำไส้ ทำหน้าที่เป็นฮีโร่คุ้มภัย สร้างเกราะป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเข้าสู่ร่างกาย
นอกจากจะมีโพรไบโอติกสายพันธุ์ดีแล้ว DUTCHIE Bio ยังมีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล อร่อยกลมกล่อม, รสวุ้นมะพร้าว และรสสตรอว์เบอร์รี ซึ่งสองรสชาตินี้จะเป็นสูตรไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย และไม่มีน้ำตาลแลกโตส ใครที่แพ้แลกโตสในนมก็กินได้ ย่อยง่าย สบายท้อง กินทุกวัน ดีทุกวัน
ลิ้มลองความอร่อยและรับคุณประโยชน์ดีๆ ได้แล้วที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านคุณ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
