วันนี้ (28 เมษายน) นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กว่า นักข่าวพยายามจะสอบถามเรื่องสายพันธุ์อินเดียบ้าง สายพันธุ์เบงกอลบ้าง คงเป็นเพราะมีการระบาดอย่างมากของโควิด-19 ในอินเดีย เมื่อมีการระบาดมาก ไวรัสก็จะแพร่ลูกหลานได้มาก ก็จะมีโอกาสมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น เป็นไปตามหลักวิวัฒนาการ
นพ.ยง ระบุว่า ถ้าดูตามสายพันธุ์อินเดียแล้วไม่เหมือนสายพันธุ์อังกฤษที่แพร่กระจายง่าย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนบนหนามแหลมที่ตำแหน่ง 501 เป็น Tyrosine จากสายพันธุ์เดิมคือ Asparagine (E) สายพันธุ์อินเดียยังเป็นชนิด Asparagine อยู่ แต่สายพันธุ์อินเดียมีจุดที่น่าสนใจในตำแหน่งการตัดแบ่งส่วน Spike โปรตีนให้เป็น S1 และ S2 ด้วยเอนไซม์ Furin ของมนุษย์ การเปลี่ยนกรดอะมิโนเป็น Basic โดยเฉพาะ Arginine (R) ทำให้หลุดเข้าเซลล์มนุษย์ได้ง่ายขึ้น จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้นได้เช่นกัน
ส่วนสายพันธุ์เบงกอลที่กล่าวถึงกันจะเป็นการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง 484 เป็น Lysine ที่ทำให้หลบหนีภูมิต้านทานจากวัคซีน เช่นเดียวกับสายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิล จึงทำให้มีการกล่าวถึงกันมาก สายพันธุ์นี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไปกว่าบราซิลและแอฟริกาใต้ ถ้าดูแล้วสายพันธุ์แอฟริกาใต้ยังน่ากลัวกว่า
“จากการตรวจสายพันธุ์โดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯ กว่า 500 ตัวอย่างที่มีการระบาดอยู่ ณ ขณะนี้มากกว่า 98% ของเราเป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ยังไม่พบสายพันธุ์อินเดีย เบงกอล แอฟริกาใต้ บราซิล ในประเทศไทย” นพ.ยง ระบุทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า