ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ยังคงผันผวนอย่างหนัก โดยดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJI) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 โดยความเสี่ยงของภาคธนาคารทำให้ตลาดปิดในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนในตลาดคาดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้ Fed ระงับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวในเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบางภาคส่วนในตลาด
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมฉุกเฉินของ Fed ในวันนี้ (14 มีนาคม) โดยการประชุมดังกล่าวจะเป็นการทบทวนและตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าและอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Advance and Discount Rate)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ถ้อยแถลง ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ป่วนตลาด กดดาวโจนส์ร่วงกว่า 500 จุด นักลงทุนเทขายตั้งรับดอกเบี้ยขาขึ้น
- ดาวโจนส์ดิ่ง 600 จุด นักลงทุนหวั่น Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าคาด หลังภาคธุรกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง
- Dow Jones ร่วงตลอดเดือนกันยายนกว่า 9% ทำระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี พิษเงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยสูง ฉุดเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ ดัชนี DJI ปรับตัวลดลง 90.50 จุด หรือ 0.28 % ปิดที่ 31,819.14 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ลดลง 5.83 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 3,855.76 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 49.96 จุด หรือ 0.45% ปิดที่ 11,188.84 จุด
หุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือหุ้นในกลุ่มของธนาคาร โดยมีรายงานว่า First Republic Bank ร่วงลงมากถึง 76.6% แม้จะมีข่าวว่าได้แหล่งเงินทุนใหม่ ขณะที่ Western Alliance Bancorp ร่วงลง 82.5% และ PacWest Bancorp ลดลง 53% ขณะที่การซื้อขายหุ้นหยุดชะงักหลายครั้งเนื่องจากความผันผวน สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลว่าการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร โดยลุกลามไปยังธนาคารประจำภูมิภาคของสหรัฐฯ
ด้านดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในระบบธนาคารของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี VIX พุ่งขึ้นมากกว่า 4 จุด สู่ระดับ 29.03 ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยหากดัชนีดีดตัวเหนือระดับ 30 จะบ่งชี้ว่าตลาดมีความเสี่ยง ขณะที่มีความผันผวนสูง ซึ่งก่อนหน้านี้ดัชนี VIX อยู่ในระดับต่ำเพียง 17.06 ในช่วงเริ่มต้นปี 2023
ขณะเดียวกัน Mortgage News Daily รายงานว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ปรับตัวดิ่งลงเมื่อวานนี้ (13 มีนาคม) หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 7.05% เมื่อวันพุธในสัปดาห์ที่แล้ว (8 มีนาคม) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับตัวลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี และ 30 ปีร่วงลงตามกัน โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางวิกฤตการณ์ในภาคธนาคาร
โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อการจำนองแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปีปรับตัวลงสู่ระดับ 6.57% จากระดับ 6.76% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม)
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อการจำนองได้ปรับตัวลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นอัตราอ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง โดยราคาพันธบัตรจะปรับตัวสวนทางกับอัตราผลตอบแทน
ทองคำ-โลหะเงิน กอดคอทะยาน
ความผันผวนของตลาดทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยราคาทองคำในวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ท่ามกลางการอ่อนค่าของดอลลาร์และความหวั่นวิตกเกี่ยวกับการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดของธนาคารสหรัฐฯ นับตั้งวิกฤตการเงินปี 2008 ซึ่งราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 49.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,916.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตในภาคธนาคารบวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าได้เพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ขณะเดียวกัน โลหะมีค่าอื่นๆ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยแร่เงินปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.16% มาอยู่ที่ 21.7741 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลทินัมเพิ่มขึ้น 4.03% อยู่ที่ 997.8473 ดอลลาร์ และแพลเลเดียมเพิ่มขึ้น 6.92% ที่ 1,474.2458 ดอลลาร์
อ้างอิง: