หลังจากผู้เขียนได้อ่านหนังสือ ‘The Visionary ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต’ โปรเจกต์ต่อยอดจากโครงการ ‘สานต่อที่พ่อทำ’ ที่มาในรูปแบบของหนังสือ ถ่ายทอดเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในมุมมองคนทำงาน ที่ทำให้เราเชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาของหนังสือได้ง่าย โดยแทบไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังอ่านพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์

 

 

     ความน่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้เขียนเป็นคนใช้เวลาในการอ่านหนังสือเล่มหนึ่งนานพอสมควร เฉลี่ยแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งอาทิตย์ แต่ The Visionary กลับเป็นหนังสือที่เมื่อหยิบขึ้นอ่านแล้ว กลับอ่านจบในรวดเดียวด้วยความเพลิดเพลิน อาจเป็นเพราะวิธีเขียน วิธีเล่าเรื่อง การจัดวางหน้ากระดาษต่างๆ ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ ‘เสพง่าย’ เป็นพิเศษ จนอยากจะนำเสนอบทความนี้ในรูปแบบที่คล้ายๆ กับหนังสือเล่มนี้ดูบ้าง

     และนี่คือ 9 เหตุผลที่ผู้เขียนอยากแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้  

 

 

1. เรียบง่ายสบายตา

     ไม่บ่อยครั้งนักที่การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเชิงวิชาการ และถ่ายทอดความรู้ จะได้รับการเพลิดเพลินเหมือนกำลังอ่านนิทานเรื่องสั้นสนุกๆ แต่สำหรับ The Visionary ดีไซน์มาให้เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่หน้าปกที่เน้นความเรียบง่าย และการจัดวางหน้ากระดาษด้านในที่ดูสบายตา อ่านง่าย แบ่งสัดส่วนชัดเจน จนรู้ตัวอีกทีก็อ่านถึงบทสุดท้ายแล้ว

 

2. Visual

     ‘ภาพ’ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่ภาพประกอบที่คอยคั่นในแต่ละหัวเรื่อง ซึ่งช่วยในการสร้างความเข้าใจให้ผู้อ่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีภาพถ่ายของแต่ละบท ที่ทั้ง ‘สื่อสาร’ และ ‘สวยงาม’ สวยงามถึงขั้นที่อยากจะได้ไฟล์มาตั้งเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์เลยก็ว่าได้

 

 

3. Friendly

     ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่นำเสนอให้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ แต่ในเชิงการใช้ภาษาของ The Visionary ทำให้รู้สึกว่าผู้เขียนหนังสือพยายามที่จะ ‘เข้าถึง’ ผู้อ่านอย่างแท้จริง การใช้คำอธิบายที่เข้าใจง่าย ไม่ใช่คำศัพท์ยากๆ หรือการเรียงประโยคที่ซับซ้อน ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหา และหยิบข้อคิดมาใช้ได้แบบไม่ต้องเกร็ง ที่แน่ๆ ข้อคิดในแต่ละบทถูกปรับให้เหมาะกับคนทำงานทั่วไปอย่างเราๆ แล้วด้วย

 

4. ฉลาดเล่า

     ก่อนหน้านี้เราทุกคนคงเคยผ่านบทเรียนในโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับโครงการของพระองค์มาบ้าง ซึ่งก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เราจำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่การอ่านเรื่องราวการทรงงานของพระองค์ท่านผ่าน The Visionary เปรียบเสมือนการศึกษางานทุกวินาทีผ่านหน้าต่างห้องทรงงานของพระองค์ท่านโดยตรง เพราะการเล่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละโครงการ ทำให้ผู้อ่าน ‘จำ’ ข้อมูลได้มากขึ้น

     เราอาจเคยถูกสอนว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นความสำคัญของ ‘แผนที่’ มาก แต่ในหนังสือเล่มนี้กลับเล่าอย่างสนุกว่า พระองค์ทรงพกแผนที่ขนาด 5×12 เมตร มาตราส่วน 1:50,000 ต่อกันถึง 9 แผ่น เพื่อให้เเห็นภาพในมุมกว้างอย่างละเอียด จนเมื่อปูแผนที่บนพื้นแล้ว ก็ใหญ่จนเต็มห้องเลยทีเดียว

5. รวบยอด

     ถ้าหนังสือชีวประวัติของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั่วไปเปรียบเสมือนหนังสือเรียนเล่มใหญ่ที่คุณครูแจกให้ตอนเริ่มเรียนในคาบแรก The Visionary คงเป็นเหมือนสมุดเลกเชอร์ตอนท้ายเทอมที่เรานั่งอ่านกันก่อนวันสอบ การคัดเลือก และจับประเด็นที่สำคัญๆ ของแต่ละเรื่องมาเรียบเรียงให้กระชับ แถมยังปิดท้ายแต่ละบทด้วยการสรุป ‘คีย์เวิร์ด’ เพื่อปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการอ่านครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับตัวเองได้จริงๆ

 

6. อารมณ์ขัน

     อีกหนึ่งเสน่ห์ของ The Visionary คือการแทรกเรื่องสั้นที่ถูกเล่าผ่านบุคคลรอบตัวของท่านในมุมมองที่น่ารัก และแสดงให้เห็นความเป็นในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกมุมหนึ่ง ในทุกๆ บท จะมีส่วนที่ถูกแยกออกมาเพื่อแทรกเรื่อง หรือประโยคคำพูด ที่สร้างรอยยิ้มให้ขณะอ่าน เหมือนเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่นำไปเล่าต่อให้เพื่อนฟังได้

 

 

7. สมจริง

     เรื่องราวในเล่มไม่ได้นำเสนอแค่เพียงความสำเร็จในตอนจบของแต่ละโครงการเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าที่มาที่ไป เหตุผลในการจัดทำโครงการ ขั้นตอนระหว่างทำ รวมไปถึง ‘อุปสรรค’ และ ‘ความผิดพลาด’ ที่เกิดขึ้น การนำเสนอเรื่องราวอย่างรอบด้านทำให้เรารู้สึกว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทุกเรื่องราวย่อมมีอุปสรรค หรือสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้กับทุกคน และหากเรากำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ก็ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง หรือเพราะโชคร้ายแต่อย่างใด แค่เพียงยอม ‘มองให้เห็นปัญหา’ ยอมรับ และแก้ไขมันเท่านั้น

 

8. คุ้นหู

     เราอาจจะเคยอ่าน หรือได้ยินเรื่องราวของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มามากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางทีเราก็อาจจะไม่รู้ถึงข้อมูลของมันเลย แค่เพียง ‘คุ้นหู’ กับชื่อของมันเท่านั้น เช่น แก้มลิง, ดินเปรี้ยว, เขื่อนสองพันบาท เป็นต้น และยังมีตัวอย่างที่รู้สึกว่าตรงกับตนเอง อย่าง ‘ทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี’ ที่ใช้อยู่ทุกวัน ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ยิ่งอ่านยิ่งทำให้รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก

 

 

9. บทสุดท้าย

     บทสุดท้ายน่าจะเป็นการจบหนังสือได้อย่างงดงาม และลงตัวที่สุด ‘แยกความอยาก ออกจากความจำเป็น’ เป็นชื่อตอนที่ตรงไปตรงมา และตรงใจที่สุด เริ่มต้นด้วยการชวนให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังอยากได้อะไรที่สุดในชีวิต ตามด้วยการยกตัวอย่างจากการทำงานของพระองค์ให้เห็นว่า ‘สิ่งที่เราต้องการ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องมี’ ซึ่งเชื่อมโยงได้กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เราอาจเคยมองว่ามันเกี่ยวข้องกับการประหยัด การอดออม เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วหากเราทำความเข้าใจ และรู้จักแยกแยะ ‘สิ่งที่เราต้องการ’ ออกจาก ‘สิ่งที่จำเป็น’

     สิ่งนี้จะช่วยนำพาเราไปสู่การค้นหาความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้โดยง่าย เพราะการมีใน ‘สิ่งที่จำเป็น’ จะช่วยสร้างความสะดวกให้กับชีวิต และการรู้จักสร้างความสมดุลให้กับสิ่งที่เราต้องการ จะช่วยลดการเบียดเบียนผู้อื่นในที่สุด ซึ่งเมื่ออ่านจนจบแล้ว ก็รู้สึกว่าข้อคิดเรื่องความพอเพียง เป็น ‘สิ่งที่จำเป็นต้องมี’ อีกหนึ่งอย่างในชีวิตเหมือนกัน

     หากใครที่ได้ลองอ่าน The Visionary คงสัมผัสได้ถึงความต้องการหลักของกลุ่มผู้จัดทำที่อยากจะให้หนังสือเล่มนี้ เป็นเหมือนหนังสือฮาวทู คู่มือการทำงาน หลักการใช้ชีวิต แบบย่อยง่าย และประยุกต์ใช้ได้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือขณะอ่านแต่ละหน้า ผู้เขียนก็รู้สึกอยากจะเอาดินสอมาขีดเส้นใต้ในส่วนที่สนใจ กางหน้าหนังสือเพื่อวงกลมเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน และจดข้อคิดตรงหัวมุมกระดาษแล้วพับเอาไว้ จนหนังสือที่เพิ่งได้มาไม่ถึง 3 วัน ก็มีสภาพเหมือนผ่านการใช้งานมาเป็นเดือน โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังสือเล่มนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้วหรือยัง