‘ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ’
เป็นความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นมาในใจเมื่อเรารู้ว่าเรื่องราวแสนสนุก น่าประทับใจของโดราเอมอนและผองเพื่อน ที่สร้างเสียงหัวเราะและความสนุกให้กับแฟนการ์ตูน (รวมถึงผู้เขียนเอง) ได้ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 50 เป็นที่เรียบร้อย
และเป็นความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเราเดินออกจากโรงภาพยนตร์ หลังจากเรื่องราวใน โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ ภาพยนตร์โดราเอมอนลำดับที่ 40 ได้พาเรานั่งไทม์แมชชีนกลับไปเป็นวัยเด็ก เพื่อออกผจญภัยสู่โลกของไดโนเสาร์ เหมือนเมื่อครั้งที่โนบิตะได้รู้จักกับไดโนเสาร์ตัวสีส้มอย่าง พิสุเกะ จาก โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ของโนบิตะ ในฉบับปี 1980 และฉบับปี 2006
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขตลอดระยะเวลาที่เราได้ย้อนเวลาในช่วงสั้นๆ ไปกับโดราเอมอน, โนบิตะ, ชิซูกะ, ซูเนโอะ, ไจแอนท์ และเพื่อนๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ราวกับว่าการผจญภัยในครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
เรื่องราวของ โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ เริ่มต้นขึ้นเมื่อโนบิตะได้พบกับหินปริศนาที่เขาเชื่อว่ามันคือไข่ไดโนเสาร์โดยบังเอิญ โนบิตะจึงขอให้โดราเอมอนใช้ผ้าคลุมกาลเวลา เพื่อพิสูจน์ดูว่าหินก้อนนี้คือไข่ไดโนเสาร์จริงหรือไม่
เมื่อโนบิตะและโดราเอมอนตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ ทั้งคู่ก็ได้พบกับไดโนเสาร์ที่กำลังฟักออกจากไข่ถึง 2 ตัว โนบิตะจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูพวกมันด้วยตัวเอง พร้อมตั้งชื่อให้ว่า คิว (ตัวสีเขียว) และมิว (ตัวสีชมพู) ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ของโดราเอมอนและผองเพื่อนสู่โลกไดโนเสาร์ยุคครีเตเชียส
สิ่งแรกที่เราขอชื่นชม คือการนำเสนอเรื่องราวของผู้กำกับอย่าง คาซูอากิ อิมาอิ ซึ่งเคยรับหน้าที่กำกับโดราเอมอนเดอะมูฟวี่มาแล้วใน โดราเอมอน: เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ (2018) และ เก็งกิ คาวามูระ มือเขียนบทผู้เคยนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องเยี่ยมอย่าง Your Name (2016) ที่ค่อนข้างเคารพต่อความรู้สึกของแฟนๆ โดราเอมอนพอสมควร
ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องและบรรยากาศในหลายๆ ฉากของภาพยนตร์ ชวนให้เราคิดถึงเรื่องราวในภาค โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ของโนบิตะ ตั้งแต่ฉากที่คิวและมิวกำลังฟักตัวออกจากไข่ รวมถึงช่วงเวลาที่โนบิตะกำลังเลี้ยงดูคิวและมิว ล้วนเป็นบรรยากาศที่ชวนให้เราคิดถึงเหตุการณ์ที่โนบิตะกำลังเลี้ยงดูพิสุเกะ ไดโนเสาร์ตัวแรกของเขามากๆ
ในขณะที่พาร์ตของเนื้อเรื่องก็ถูกร้อยเรียงออกมาได้อย่างสนุกสนานตามแบบฉบับของโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ของวิเศษชิ้นใหม่ของโดราเอมอนที่คิดค้นออกมาอย่างน่าสนใจ เช่น ช็อกโกแลตเพื่อนสนิท, ไข่นักสำรวจ, ชุดนักสำรวจ, บ้านพักบอลลูน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เสริมให้การผจญภัยของโดราเอมอนและผองเพื่อนในครั้งนี้สนุกสนาน และตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ภาคอื่นๆ (ที่ยกตัวอย่างมาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เราขอเก็บความสามารถของของวิเศษทั้งหมดไว้ เพราะเราอยากให้แฟนๆ โดราเอมอนได้ลองชม ‘ความน่ารัก’ เหล่านั้นด้วยตัวเองจริงๆ)
รวมถึงองค์ประกอบที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Birthday บทเพลงคุณภาพจากวง Mr.Children ศิลปินป๊อปร็อกขวัญใจชาว J-Rock ยุค 90 ที่เข้ามาเติมเต็ม ‘ความอบอุ่น’ ให้กับมิตรภาพของโนบิตะและเหล่าไดโนเสาร์ตัวใหม่ จนเราต้องรีบกลับบ้านเพื่อเปิดฟังเพลงนี้วนซ้ำอยู่หลายครั้ง
อีกหนึ่งความพิเศษที่เราไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือทีมพากย์ที่กลับมาให้เสียงภาษาไทยของโดราเอมอนและผองเพื่อนแบบครบทีมอีกครั้ง นำโดย ติ๋ม-ฉันทนา ธาราจันทร์ (โดราเอมอน), นิด-ศันสนีย์ วัฒนานุกูล (โนบิตะ), ผึ้ง-ศรีอาภา เรือนนาค (ชิซูกะ), ต๋อย-นิรันดร์ บุณยรัตพันธุ์ (ไจแอนท์) และ ตุ๊ก-อรุณี นันทิวาส (ซูเนโอะ) ซึ่งคงไม่เกินจริงนักหากเราจะกล่าวว่า เสียงพากย์ของทุกๆ ท่านคือจิตวิญญาณของทุกตัวละครที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของทุกคนก็ว่าได้
ตลอดระยะเวลาที่ได้ออกผจญภัยสู่ยุคครีเตเชียสไปกับโดราเอมอนและผองเพื่อน ทำให้เรารู้สึกหวนคิดถึงตัวเองในวัยเด็กที่กำลังนั่งชม โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ของโนบิตะ ฉบับปี 2006 และโดราเอมอนเดอะมูฟวี่เรื่องอื่นๆ ที่เราชื่นชอบอย่างสนุกสนานขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกใจหายที่ช่วงเวลาแสนสนุกเหล่านั้นได้ล่วงเลยมาแล้วกว่า 10 ปี
การกลับมารับชมโดราเอมอนเดอะมูฟวี่อีกครั้งในรอบหลายปี จึงเปรียบเสมือนการกลับมาเจอ ‘เพื่อนวัยเด็ก’ และได้ย้อนรำลึกถึงการผจญภัยแสนสนุกร่วมกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เราหลงลืม ‘ความทรงจำวัยเด็ก’ ที่อาจจะถูกลมมรสุมของกาลเวลาพัดปลิวหายไป
และแม้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราได้รับจาก โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ จะจบลง แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องราวการผจญภัยและมิตรภาพระหว่างโนบิตะและไดโนเสาร์ตัวใหม่ในครั้งนี้ จะยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป
เสมือนว่าการผจญภัยในครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
โดราเอมอน: ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ผ่านทาง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
