สถานการณ์ตามแนวพรมแดนสหรัฐฯ กำลังทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ หลังกองคาราวานผู้อพยพจากลาตินอเมริกาเดินทางเข้าใกล้แผ่นดินสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อในรายการ Axios ทางช่อง HBO ว่าตนเตรียมลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี ยกเลิกสิทธิการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยกำเนิดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
โดยตั้งเป้าหมายจะแก้ไขมาตราที่ 14 ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ (1868) ที่บัญญัติและประกาศใช้มานานกว่า 150 ปี เพื่อคุ้มครองและให้สิทธิความเป็นพลเมืองแก่ทุกคนที่เกิดบนผืนแผ่นดินสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ระบุว่า “เราเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่อนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่อาศัย มีลูก และได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เหมือนกับที่ชาวอเมริกันได้รับทุกอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกมาก และเรื่องนี้จะต้องยุติลง”
ทางด้าน มาร์ค วอร์เนอร์ สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเวอร์จิเนีย สังกัดพรรคเดโมแครต ระบุว่า “นี่เป็นความพยายามของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการจะนำความเกลียดกลัวผู้อพยพมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก่อนที่การเลือกตั้งครั้งสำคัญจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ เองก็ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มีใครที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย แม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ”
แท้จริงแล้วสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่มีสิทธิการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยกำเนิดตามที่ทรัมป์กล่าวอ้าง มีมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่ใช้หลักกฎหมายลักษณะนี้ โดยแคนาดา เม็กซิโก มาเลเซีย และเลโซโท ก็ใช้กฎของแผ่นดินที่ตั้งถิ่นฐาน (Jus soli) หรือสิทธิของการเป็นพลเมืองแก่บุคคลที่เกิดในดินแดนนั้นๆ
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย รวมถึงเครือจักรภพอื่นๆ ก็ได้ให้สิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิดโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่มีพ่อหรือแม่ได้รับสัญชาติหรือมีถิ่นพำนักถาวรภายในประเทศ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: