โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวเมื่อวานนี้ (30 พฤศจิกายน) โดยเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ที่ประกอบไปด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้, อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้คำมั่นว่าจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นที่จะแทนที่ดอลลาร์สหรัฐบนเวทีการค้าระหว่างประเทศ พร้อมขู่ว่าหากไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐฯ จะกำหนดกำแพงภาษี 100% ต่อประเทศเหล่านี้
โดยทรัมป์แถลงผ่านโซเชียลมีเดีย Truth Social ว่า “เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่ของ BRICS หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดที่จะแทนที่ดอลลาร์สหรัฐอันทรงพลัง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเผชิญกับกำแพงภาษี 100% และเตรียมบอกลาตลาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันยอดเยี่ยมไปได้เลย”
ทรัมป์ยังกล่าวเสริมอีกว่า “พวกเขาสามารถไปหาคนอื่นที่ยอมเป็น ‘เหยื่อ’ ได้ แต่ไม่มีทางที่กลุ่ม BRICS จะสามารถแทนที่ดอลลาร์สหรัฐบนเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ และประเทศใดที่พยายามทำเช่นนั้นก็ควรกล่าวอำลาสหรัฐฯ ไปได้เลย”
คำพูดของทรัมป์สะท้อนถึงความกังวลของสหรัฐฯ ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่ม BRICS ในการพัฒนาสกุลเงินสำรองใหม่ ซึ่งอาจลดบทบาทของดอลลาร์สหรัฐในระบบการเงินโลก นอกจากนี้นโยบายดังกล่าวยังอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่ม BRICS เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ขณะที่ รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามว่า หากทรัมป์ดำเนินการครบทุกมาตรการกับทุกประเทศตามที่เขาเคยประกาศไว้ ทั้งกับจีน, แคนาดา, เม็กซิโก, ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลด้วย และกลุ่ม BRICS อาจทำให้ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นแค่ไหน รวมถึงขนาดเงินเฟ้อด้วย แล้วยิ่งถ้าทรัมป์จะ QE (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) อย่างเช่น การเพิ่มปริมาณเงินในระบบหรือการลดดอกเบี้ย อ.ปิติ ก็มองว่าเราคงจะได้เห็นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แบบทศวรรษ 1970 ที่อัตราเงินเฟ้อแตะเลข 2 หลักอีกรอบ
ภาพ: Carlos Barria / Reuters
อ้างอิง: