ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่สินทรัพย์ที่ยังคงปรับตัวอยู่ในแดนบวกอย่างต่อเนื่องสำหรับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางปัจจัยความท้าทายต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ แม้ต้องแลกกับการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมจะชะลอตัวลงก็ตาม
ทั้งนี้ CNN Business รายงานว่า ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งติดตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับปอนด์อังกฤษ ยูโร ฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น ดอลลาร์แคนาดา และโครนาสวีเดน พุ่งขึ้นเกือบ 13% ในปีนี้ และซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2002
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘จีน’ ผนึก ‘รัสเซีย’ ดันสกุลเงินกลุ่ม BRICS เป็นทางเลือกชำระเงิน หวังคานอำนาจดอลลาร์สหรัฐ
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
อย่างไรก็ตาม ด้วยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี อาจทำให้รายรับของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ นั่นเป็นเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าลดมูลค่าการขายและรายได้จากการดำเนินงานในต่างประเทศ
ยกตัวอย่าง รายงานของบริษัทข้ามชาติในดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones อย่าง Microsoft (MSFT) และ Nike (NKE) ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเป็นปัญหาในการเรียกรายได้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
Lisa Shalett หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนและหัวหน้าสำนักงานการลงทุนระดับโลกของ Morgan Stanley Wealth Management กล่าวในรายงานเมื่อวันจันทร์ว่า ความผันผวนของสกุลเงินได้เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม เหตุผลเพราะในขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐช่วย Fed ต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ก็คุกคามรายรับของบรรดาบริษัทสหรัฐฯ ที่ต้องมีการแปลงกำไรจากต่างประเทศ รวมถึงฉุดความสามารถในการแข่งขันให้แย่ลง
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าอาจดึงให้ราคาน้ำมันดีดตัวกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากน้ำมันดิบ (เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ) ซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต่ำลงย่อมเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกที่ประสบปัญหาในการชำระค่าไฟฟ้าเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อมากกว่า
นอกจากนี้ Ipek Ozkardeskaya นักวิเคราะห์อาวุโสของ Swissquote Bank กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นน่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อการส่งออกของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่โลกกำลังดิ้นรนกับกำลังซื้อที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นที่ความเร็วนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีสิทธิ์ที่จะพุ่งชนกำแพงได้เช่นกัน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นยังส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ซึ่งขณะนี้ลดลงไปแล้วประมาณ 6% เพราะคนแห่ไปซื้อดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับราคาของ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ที่แม้จะมีการดีดตัวขึ้นของ Bitcoin เมื่อเร็วๆ นี้ที่ประมาณ 22,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคา Bitcoin ได้ลดลงมากกว่าครึ่งในปีนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนไม่ต้องการโลหะมีค่าหรือคริปโตเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาที่เงินดอลลาร์สหรัฐกำลังแข็งค่าอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้
ทั้งนี้ ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในขณะนี้ก็คือ การช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับบรรดานักช้อปชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่นักช้อปเหล่านี้ต้องการซื้อสินค้านำเข้า หรือเดินทางไปต่างประเทศ
ในส่วนของความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ (12 กันยายน) ตลาดวอลล์สตรีทปิดตลาดในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างเฝ้ารอดูรายงานเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายของ Fed ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างยาวนานและแข็งกร้าวมากน้อยแค่ไหน
โดยดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones เพิ่มขึ้น 229.63 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 32,381.34 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 43.05 จุด หรือ 1.06% ปิดที่ 4,110.41 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 154.10 จุด หรือ 1.27% ปิดที่ 12,266.41 จุด
หุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงปรับตัวขึ้นมากที่สุด แต่หุ้นโดยรวมส่วนใหญ่ในตลาดก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น หุ้นของ Bristol-Myers Squibb เพิ่มขึ้น 3.14% และ Apple เพิ่มขึ้น 3.85%
การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้หุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น เนื่องจากค่าเฉลี่ยหลักทั้งสามทำสถิติขาดทุนติดต่อกัน 3 สัปดาห์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกันยายน ตลาดหุ้นค่อนข้างมีความผันผวนก่อนการประชุม Fed ในวันที่ 20-21 กันยายนนี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่า Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่สูง สอดคล้องกับท่าทีก่อนหน้านี้ที่ทางเจ้าหน้าที่ของ Fed ได้ย้ำในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า Fed จะคงอัตราการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แม้ว่าจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/09/12/investing/dollar-currency-stocks-economy-oil-crypto/index.html
- https://www.cnbc.com/2022/09/11/stock-futures-rise-as-wall-street-looks-ahead-to-key-inflation-data-.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP