หลังจากที่ซีรีส์ Loki (2021) และภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man: No Way Home (2021) ได้เปิดประตูให้เราเข้ามาทำความรู้จักกับ ‘มัลติเวิร์ส’ ที่ดูจะเป็นเรื่องราวอันยิ่งใหญ่และมีความเป็นไปได้มากมายหลากหลายให้แฟนๆ ได้คาดเดา มันจึงยิ่งส่งให้ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ภาพยนตร์ภาคที่ 2 ของหมอแปลก ที่หยิบเรื่องราวของมัลติเวิร์สมาขยายความให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แถมยังได้ Sam Raimi จาก Spider-Man ไตรภาค มานั่งแท่นกำกับ กลายเป็นภาพยนตร์ MCU ที่น่าจับตามองมากที่สุดคงไม่ผิดนัก
ก่อนอื่นสำหรับใครที่ไม่ได้ติดตามจักรวาล MCU แบบครบทุกเรื่อง และมีแผนว่าจะไปชม Doctor Strange in the Multiverse of Madness เราอยากแนะนำให้คุณย้อนกลับไปดูซีรีส์ WandaVision (2021) และภาพยนตร์เรื่อง Avengers: Infinity War (2018) มาก่อนน่าจะดีที่สุด เพราะปมปัญหาสำคัญของภาพยนตร์มีความเชื่อมโยงกับตัวซีรีส์และประเด็นของ Dr. Strange ใน Avengers: Infinity War อยู่ไม่น้อย
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Doctor Strange in the Multiverse of Madness กับ 4 เกร็ดน่าสนใจของหนัง MCU ที่มีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
- ตามเก็บหนังและซีรีส์ Marvel ที่ต้องดู ก่อนไปปกป้องมัลติเวิร์สกับหมอแปลกใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness
- America Chavez ฮีโร่สาวคนใหม่จะมีบทบาทใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness และ MCU อย่างไร
เรื่องราวของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Dr. Strange (Benedict Cumberbatch) ได้บังเอิญมาพบกับ America Chavez (Xochitl Gomez) หญิงสาวผู้มีพลังในการเปิดประตูมิติคู่ขนาน ที่กำลังถูกไล่ล่าจากปีศาจปริศนา และทำให้เขารับรู้ถึงอันตรายบางอย่างที่จะส่งผลให้มัลติเวิร์สเกิดความโกลาหล Dr. Strange จึงต้องร่วมมือกับ America Chavez เพื่อปกป้องมัลติเวิร์สในครั้งนี้
หากดูจากตัวอย่างภาพยนตร์ที่ถูกปล่อยออกมา ดูเหมือนว่า Marvel Studios พยายามจะปั้นให้หน้าหนังของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness มีความลึกลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องย่อของภาพยนตร์ที่เปิดเผยออกมาให้เราเห็นแบบคลุมเครือ ปมปัญหาของ Wanda (Elizabeth Olsen) ที่ถูกปูเอาไว้ในซีรีส์ WandaVision จะเชื่อมโยงกับภาพยนตร์อย่างไร การกระทำของ Dr. Strange ส่งผลต่อมัลติเวิร์สอย่างไร ที่มาที่ไปของตัวละครใหม่อย่าง America Chavez ไปจนถึงตัวละครลับมากมายที่อาจจะมาปรากฏตัวในภาพยนตร์
แต่ผู้กำกับ Sam Raimi (Spider-Man ไตรภาค, The Evil Dead) ก็ร้อยเรียงเรื่องราวที่ดูซับซ้อนเหล่านั้นให้ออกมาเข้าใจง่าย และชวนให้เราสนุกสนานไปกับการผจญภัยในมัลติเวิร์สของ Dr. Strange และ Wanda ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผ่านกลวิธีนำเสนอที่ผสมผสานความสยองขวัญและการผจญภัยออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทั้งการ Jump Scare ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างตรงจังหวะ รวมถึงมุมกล้องและดนตรีประกอบที่เข้ามาเสริมให้ความสยองขวัญโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่ฉากแอ็กชันเองก็อลังการงานสร้างไม่แพ้กัน โดยเฉพาะฉากแอ็กชันของ Wanda ที่มาพร้อมกับพลังเวทอันทรงพลังสมฉายา Scarlet Witch
องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ Doctor Strange in the Multiverse of Madness แอบมีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับ Spider-Man ไตรภาค ที่ผสมผสานความเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่กับความสยองขวัญออกมาได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมีกิมมิกที่ชวนให้เราคิดถึงภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง The Evil Dead (1981) หนึ่งในผลงานระดับขึ้นหิ้งของ Sam Raimi อีกด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือการที่ภาพยนตร์พาเราไปสำรวจแง่มุมความรู้สึกของ Dr. Strange มากกว่าครั้งไหนๆ ไล่เรียงตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่าง Dr. Strange และ Christine Palmer (Rachel McAdams) ที่ถูกขยายความให้ชัดเจนและลึกซึ้งมากขึ้นกว่า Doctor Strange ภาคแรก (2016) เคมีที่เข้ากันอย่างลงตัวของฮีโร่คู่หูอย่าง Dr. Strange และ Wong (Benedict Wong) ไปจนถึงการหยิบความยึดมั่นในเหตุผลและการตัดสินใจของตัวเองมาใช้เป็นปมปัญหาหลักที่ Dr. Strange ต้องเผชิญ ก็ทำให้เราได้ทำความรู้จักแง่มุมใหม่ๆ ของ Dr. Strange มากขึ้นกว่าเดิม
และการปรากฏตัวของ America Chavez ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ปมปัญหาของ Dr. Strange เข้มข้นและชวนติดตามมากขึ้น มันจึงส่งให้การผจญภัยในมัลติเวิร์สของ Dr. Strange และ America Chavez ไม่ได้มีดีแค่ฉากแอ็กชันเท่านั้น แต่ยังพาเราไปเฝ้าดูการเติบโตของทั้งสองตัวละครอีกด้วย
ตัดสลับมาที่ Wanda ด้วยความที่ปมปัญหาของเธอถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์ของ MCU มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะในซีรีส์ WandaVision ที่พาผู้ชมไปสำรวจความเจ็บปวดของ Wanda ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจตัวละคร Wanda มาพอสมควรแล้ว
ดังนั้นบทบาทของ Wanda ใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness จึงเป็นการนำเสนอตัวตนของเธอหลังจากเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทั้งหมดจนกลายมาเป็น Scarlet Witch มากกว่าจะเป็นการพาผู้ชมไปสำรวจความรู้สึกของ Wanda อย่างลึกซึ้งเท่ากับซีรีส์ WandaVision
ตัดสลับมาที่จุดที่เราไม่ชอบกันบ้าง โดยส่วนตัวเราค่อนข้างงุนงงเกี่ยวกับประเด็นของมัลติเวิร์สที่ภาพยนตร์พยายามจะนำเสนอ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เผยปมปัญหาสำคัญของเรื่อง ซึ่งภาพยนตร์เลือกที่จะปล่อยข้อมูลออกมาอย่างหนักหน่วงผ่านบทสนทนาของตัวละคร แต่กลับไม่ได้อธิบายให้เราเห็นภาพชัดเจนมากนัก มันจึงทำให้ในช่วงหลังของภาพยนตร์ เราเริ่มจะตามประเด็นของมัลติเวิร์สไม่ทันเท่าไร
ในภาพรวมแล้ว Doctor Strange in the Multiverse of Madness เรียกว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของ Dr. Strange ที่สมการรอคอยแฟนๆ อย่างแน่นอน ทั้งฉากแอ็กชันที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างตื่นตาตื่นใจ การพาผู้ชมไปสำรวจความรู้สึกของ Dr. Strange ที่ลึกซึ้งมากกว่าครั้งไหนๆ และการนำเสนอตัวละครใหม่อย่าง America Chavez ที่ทำให้เราตกหลุมรักเธอได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งแฟนๆ MCU คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า Dr. Strange และ America Chavez จะมีบทบาทสำคัญต่อจักรวาล MCU ในอนาคตอย่างไรบ้าง
Doctor Strange in the Multiverse of Madness เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่