เมื่อวานนี้ (6 กรกฎาคม) นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ Facebook ระบุว่า ด้วยความเคารพและเห็นใจความกลัวการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว จนมีประกาศกันว่าจะให้บุคลากรด่านหน้าได้ฉีดวัคซีน Pfizer เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากได้วัคซีนไปครบแล้วสองโดส ตนขอให้ข้อคิดว่า
- ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ไม่ว่าชนิดใด ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ ช่วงนี้มีรายงานว่าแพทย์พยาบาลติดเชื้อกันมากนั้น เป็นเพราะพวกเราด่านหน้าเสี่ยงได้รับเชื้อกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว แม้แต่จะมีอุปกรณ์ป้องกันเต็มที่อย่างดี แต่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก การที่พวกเรา (แพทย์) ตระหนกจะทำให้คนทั่วไปตื่นเต้นไปยิ่งกว่า
- เรา (แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และทุกคนที่แม้แต่คิด) ดูเห็นแก่ตัวไปไหม ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว ถ้าเราจะมารับการกระตุ้นด้วยเข็มที่สามกันก่อน
- ยังไม่มีประเทศไหนในโลก ณ เวลานี้ที่แนะนำให้ฉีดกระตุ้นวัคซีนโควิดด้วยเข็มสาม จะเป็นเมื่อไร 3 เดือน 6 เดือน แต่ทั้งนี้ถ้าอยากรู้ก่อน อยากทำก่อนก็ทำได้ แต่ควรทำเป็นการศึกษาให้เป็นระบบ ไม่ควรทำไปมั่วๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ ไม่วางแผนให้เป็นระบบ ประเทศไทยก็จะไม่มีข้อมูลอีกเช่นเคยเหมือนในอดีต
“ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าทำเช่นนี้เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับวัคซีน Pfizer ที่ได้รับ (บริจาค แลก ซื้อ) จำนวนพิเศษนี้หรือไม่ ไม่รู้จริงๆ ครับ พยายามช่วยหาเหตุผลอธิบายว่านโยบายการให้ฉีดกระตุ้นในบุคลากรการแพทย์นี้มีเหตุมีผลลึกๆ อะไร” นพ.นิธิ ระบุ
- หลายแสนโดสที่จะได้รับบริจาคให้พวกเราส่วนหน้ามากระตุ้นภูมิ ถ้าจะฉีดให้คนไทยที่ยังไม่เคยได้วัคซีนได้ 350,000 คน จะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ 3,000-4,000 คนทีเดียว ดีกว่าไปหาทางเพิ่มเตียงไหมครับ
- ทำเช่นนี้ (ออกข่าวประชาสัมพันธ์ว่าแพทย์ใช้การกระตุ้นภูมิเข็มสาม) เท่ากับสร้างกระแสความเชื่อให้คนมีเงิน (ขี้อวดและขี้กลัว) แห่กันไม่ฉีดวัคซีนหลักที่มีขณะนี้ของรัฐบาลอยู่ แต่รอไปเสี่ยงติดเชื้อไปและแพร่เชื้อด้วยไปอีกหลายๆ เดือนเพื่อรอวัคซีน mRNA ทางเลือก และนอกจากนี้จะมีคน VIP (ที่คนละประเภทกับ VIP กับของตน) ที่ไม่มีเงิน (แต่มีเครือข่าย มีสายมีเส้น) แห่กันไปลัดคิวแย่งคิววัคซีนหลักเพื่อกระตุ้นภูมิของคนที่ยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว สังคมเราจะยิ่งมีความเหลื่อมล้ำไปกันใหญ่ไหม ถ้าประเทศเรามีวัคซีนเกินพอ ตนเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์กับนโยบายนี้
- ไม่แย้งไม่เถียงว่ามีข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่ทำให้อาจคิดและอาจทำให้เชื่อต่อได้ว่าการได้รับวัคซีนกระตุ้นนั้นจะทำให้ป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น แต่รู้ได้อย่างไรว่ากระตุ้นเร็วหรือช้าในเวลานี้จะให้ผลเสียมากหรือน้อยกว่ากัน อย่าคิดแค่มุมที่ดีมากหรือน้อยกว่ากัน อย่าหลงตามกันไป จะตอบคำถามนี้ได้ ‘ต้อง’ วิจัยและศึกษาให้เป็นระบบ อย่าสักแต่ว่าเชื่อ ฟัง และได้ยินเขาว่าต่อๆ กันมา
- ตนพูดมาตลอดว่าการระบาดของโรคใดๆ นั้นเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ วัคซีนไม่ใช่คำตอบเดียว ถ้าทำตามแนวทางและประชาสัมพันธ์ส่งเสริมที่จะให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่สาม ณ เวลานี้มีแต่จะทำให้เกิดความสับสนและแตกแยก เหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้นอย่างแท้จริง
“ผมไม่รู้ความตั้งใจของที่มาของการบริจาคมีเจตนาอย่างไร เล็งเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นไหม หรือเป็นเพียงแค่การตลาดบริษัทยา ปกติผมไม่ค่อยชอบค้านอะไรตรงๆ แบบนี้ แต่คราวนี้ขอผิดกติกาตัวเอง สงสารคนไทยอีกหลายสิบล้านคนที่ยังไม่ได้วัคซีน
“ผมขอค้านไม่เห็นด้วยในการให้ฉีดกระตุ้นเข็มสามในเวลานี้ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนครับ ถ้าใครจะได้รับการกระตุ้นเข็มที่สามควรต้องอยู่ในการศึกษาวิจัยที่เป็นระบบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นท่านเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกเกินไปครับ” นพ.นิธิ ระบุทิ้งท้าย