Q: สวัสดีค่ะคุณท้อฟฟี่ พี่ติดตามคอลัมน์ของคุณท้อฟฟี่มานาน และก็เห็นคุณท้อฟฟี่เขียนถึงความสำเร็จในหน้าที่การงานอยู่ตลอด จนทำให้พี่กลับมามองตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าพี่ผิดหรือเปล่าที่ไม่รู้สึกอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่อยากไต่เต้าไปตำแหน่งสูงๆ อย่างคนอื่นเขา พี่เบื่อความวุ่นวาย การแก่งแย่งชิงดีกัน มันเครียดด้วย เวลาไปเจอเพื่อนๆ ที่เขาตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไป มีเงินเยอะก็จริง แต่ดูเขาเครียดมาก พี่ไม่รู้สึกอยากได้เงินเยอะขนาดนั้น พี่รู้สึกว่าที่ที่พี่อยู่ก็โอเคแล้ว แต่ละวันทำงานเสร็จเก็บของกลับบ้านก็พอ แปลกดีที่ความสุขของพี่ไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน แต่ความสุขของพี่อยู่ที่ตอนกลับบ้านแล้วไปเจอพ่อแม่ ได้กินข้าวกับพ่อแม่ ไปเล่นกับแมว ไปดูต้นไม้ที่ปลูกในบ้าน พี่ไปทำงานด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้อินกับงานมากมาย พี่ไม่ได้คิดถึงการทำงานแล้วได้ตำแหน่งใหญ่โตอะไรเลย ไม่ต้องประสบความสำเร็จก็ได้ พี่ผิดปกติไหมคะ
A: เรื่องดีมากอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคือ คุณรู้ว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน คืออยู่ที่บ้าน กลับบ้านไปแล้วเจอพ่อแม่ แมว ต้นไม้ มีหลายคนมากนะครับที่ไม่รู้ว่าความสุขของตัวเองอยู่ที่ไหน แต่คุณรู้แล้วว่าความสุขอยู่ที่บ้าน และมันทำให้การกลับบ้านมีความหมาย น่าดีใจที่คุณได้ดูแลพ่อแม่ ผมว่าหลายคนคงอิจฉานะครับที่พี่ได้กลับบ้านไปทานข้าวกับพ่อแม่ ได้ดูแลท่าน ชีวิตคนเมืองอย่างเรามันโดดเดี่ยวเหมือนกันนะครับ บางคนต้องแยกจากพ่อแม่มาอยู่คนเดียวเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ที่ทำงาน นานๆ จะได้เจอหน้ากันสักที (นี่ยังไม่นับรวมว่าเจอหน้ากันแล้วใครก้มหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์มากกว่าคุยกับคนตรงหน้าอีกนะครับนั่น ฮ่าๆ) บางคนใช้ชีวิตไปกับงาน บ้างาน จนละเลยครอบครัว คิดไปว่าเอาไว้ประสบความสำเร็จก่อนแล้วคงค่อยได้ดูแลครอบครัว ซึ่งบางครั้งกว่าจะได้หันมาเห็นความสำคัญของครอบครัวก็อาจจะสายไปแล้ว
ผมพูดเสมอว่าบริษัทหาคนแทนเราได้ทันที (บางทีอาจจะหามาแทนได้ดีกว่าเราด้วย ฮ่าๆ) แต่ครอบครัวหาใครแทนกันไม่ได้ วันที่เราไม่อยู่บริษัทแล้ว วันหนึ่งเราก็จะถูกลืม เพราะเราเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ เท่านั้น แต่ครอบครัวอย่างไรก็ไม่ลืมเรา เพราะเราไม่ใช่เป็นแค่ฟันเฟืองของเขา แต่เราเป็นหัวใจของทุกคนที่อยู่ในครอบครัวของเรา
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำงานกันแล้ว หรือไม่ต้องทุ่มเทกับงานแล้วนะครับ ชีวิตเรามีหลายด้านที่ต้องดูแลให้สมดุลกัน เมื่อเราสวมบทบาทเป็นคนทำงาน เราก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด เมื่อเราสวมบทบาทเป็นคนในครอบครัว เราก็ดูแลครอบครัวเราให้ดีที่สุด ถ้าเราเอาแต่ทำงานจนขาดสมดุลด้านครอบครัว ครอบครัวก็จะไม่มีความสุข เช่นเดียวกัน ถ้าเราเอาแต่ครอบครัวอย่างเดียวแต่ไม่ทำงาน เราจะเอาอะไรมากินล่ะครับ ฮ่าๆ ผมคิดว่าการจัดสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ
ทีนี้ผมอยากชวนพี่คุยเรื่องคำว่า ‘ความสำเร็จในหน้าที่การงาน’ นิดหนึ่งครับ เพราะเห็นพี่บอกว่าพี่ไม่ได้ต้องการความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ความสำเร็จในหน้าที่การงานคืออะไร ผมคิดว่าแต่ละคนคงนิยามต่างกัน บางคนมองความสำเร็จว่าคือการไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆ บางคนอาจหมายถึงเงินเดือนเยอะๆ บางคนอาจหมายถึงความภูมิใจที่ตัวเองมีความหมายในที่ทำงาน บางคนอาจหมายถึงการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บางคนอาจหมายถึงการทำงานที่เป็นประโยชน์กับสังคม หรือบางคนอาจหมายถึงการทำงานแต่ละวันให้ลุล่วงไปได้ดี ฯลฯ เมื่อการนิยามความสำเร็จของแต่ละคนต่างกัน จะเอามาเปรียบเทียบกันคงไม่ได้
ความสำเร็จในหน้าที่การงานสำหรับพี่อาจไม่ได้หมายถึงการมีตำแหน่งใหญ่โต แต่จริงๆ แล้วความสำเร็จในหน้าที่การงานของพี่อาจหมายถึงการทำงานแต่ละวันให้ลุล่วง และสามารถบริหารชีวิตเพื่อมีเวลาให้ไปทำเรื่องอื่นๆ ในชีวิตได้ จริงๆ ผมคิดว่าพี่มีนิยามความสำเร็จในหน้าที่การงานอยู่นั่นแหละ และแต่ละวันพี่ก็ทำได้ด้วย นี่ไงครับ พี่มีความสำเร็จของพี่แล้ว
ถามว่าผิดไหมที่ไม่อยากไต่เต้า ไม่อยากมีตำแหน่งสูงๆ เงินเดือนเยอะๆ ผมว่าอันนี้ก็แล้วแต่ว่านิยามความสำเร็จในหน้าที่การงานของแต่ละคนคืออะไรนั่นแหละครับ ถ้าบางคนเขานิยามไว้ว่าความสำเร็จคือการไต่เต้า อันนั้นเขาก็ต้องพยายามไปให้ถึง แต่ถ้าเราไม่ได้นิยามไว้แบบนั้น ผมก็คิดว่าไม่ผิดที่เราจะไม่ได้รู้สึกว่าอยากตะกายไปมากกว่าที่เรายืนอยู่ ตัวเราเองจะเป็นคนบอกได้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต
แต่แน่นอนว่าในการทำงานก็จะต้องมีการประเมิน และคำถามที่พี่จะต้องเจอแน่ๆ ก็คือ พี่วางเป้าหมายอะไรสำหรับปีต่อๆ ไป มีอะไรเป็น KPI ในการทำงาน ซึ่งผมคิดว่า ถ้าพี่ไปตอบว่า ไม่ได้อยากทำอะไรมากไปกว่านี้ อยากกลับบ้านไปเล่นกับแมว อันนี้เดี๋ยวจะถูกเชิญให้ไปเลี้ยงแมวเป็นการถาวรได้ ฮ่าๆ การได้กลับบ้านไปดูแลครอบครัว เลี้ยงแมว ดูแลต้นไม้เป็นความสุขของพี่ก็จริงครับ แต่เก็บไว้อยู่ในใจ เอาว่าเลิกงานปุ๊บพี่ก็ได้ไปมีความสุขแล้ว
ถ้าเป้าหมายของพี่คือการได้กลับบ้านไปดูแลครอบครัว เล่นกับแมว ดูแลต้นไม้ ดังนั้น เพื่อจะทำให้พี่ไปถึงเป้าหมายนั้นได้ แปลว่าพี่ต้องอยู่รอดในที่ทำงานได้อย่างดี
อยากชวนพี่คิดเล่นๆ ครับว่า ตอนนี้พี่อยู่ในจุดที่มั่นคงอยู่ คือสามารถทำงานได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลมาก ยังสามารถทำงานได้เสร็จแล้วกลับบ้านได้ อันนี้เป็นเรื่องดี แต่ลองคิดเล่นๆ นะครับว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเทคโนโลยีสามารถทำงานได้แทนที่มนุษย์แล้ว ถ้าเกิดมี AI มาทำงานแทนพี่ได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น มีหลายธุรกิจเลยนะครับที่ต้อง Disrupt ไปเพราะดิจิทัลและเทคโนโลยีมาทำงานแทนที่มนุษย์ได้ นี่เอาจริงๆ ผมยังหวั่นๆ เลยว่าถ้าเกิด AI สามารถเขียนคอลัมน์ได้ ผมจะตกงานไหม ฮ่าๆ
นั่นทำให้ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนต้องกลับมาสำรวจตัวเองนะครับว่า เรากุมความสามารถอะไรที่คนอื่นจะแทนที่เราไม่ได้หรือเปล่า ‘คนอื่น’ ในที่นี้มีตั้งแต่มนุษย์ด้วยกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ใครว่า AEC ไม่น่ากลัวครับ คู่แข่งเราไม่ได้อยู่แค่ในประเทศเดียวกันแล้ว แต่เรากำลังแข่งกับคนทั้งโลกนะ) แข่งกับดิจิทัล แข่งกับ AI มันเป็นโจทย์ใหญ่มากเลยนะครับว่าเราจะทำอย่างไรให้อยู่รอดได้ เพราะเมื่อไรที่บริษัทมองว่าเราไม่มีคุณค่าหรือมีสิ่งอื่นมาทดแทนเราได้แล้ว เราก็หมดความหมายในจุดนั้น หรืออาจจะต้องถูกย้ายไปทำงานอย่างอื่นแทน อันนี้จะบอกว่าบริษัทโหดร้ายก็ไม่ได้ เพราะคิดในมุมหนึ่ง เขาก็ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการบริหาร แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดอาจจะหมายถึงการกำจัดมนุษย์ออกไปก็ตาม ก็ในเมื่อมีสิ่งอื่นที่ดีกว่า คุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่า ก็ต้องเลือกทางนั้น โลกมันก็แบบนี้ วันนี้มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอนาคตเราจะยังปลอดภัยแบบนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป้าหมายของพี่คือการได้กลับบ้านไปดูแลครอบครัว เล่นกับแมว ดูแลต้นไม้ ดังนั้น เพื่อจะทำให้พี่ไปถึงเป้าหมายนั้นได้ แปลว่าพี่ต้องอยู่รอดในที่ทำงานได้อย่างดี ทีนี้ทำอย่างไรล่ะให้อยู่รอดในที่ทำงานได้ นั่นก็คือเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่า นิยามความสำเร็จในหน้าที่การงานของพี่ยังเป็นเหมือนเดิมได้ครับ คือ ‘ทำงานให้เสร็จลุล่วงในแต่ละวันเพื่อที่จะได้กลับบ้านไปดูแลครอบครัว แมว และต้นไม้’ แต่สิ่งที่อาจจะต้องเพิ่มเติมมาเพื่อให้พี่ยังสามารถกลับบ้านไปดูแลครอบครัว แมว และต้นไม้ให้ได้ในอนาคตก็คือ การเพิ่มทักษะและความสามารถบางอย่างลงไปเพื่อให้พี่ไม่อยู่นิ่ง ทำให้พี่มีพัฒนาการ เมื่อก่อนเคยทำงานเป็นอย่างไร มาวันนี้ก็ต้องดีขึ้น และในอนาคตยิ่งต้องดีขึ้น แม้กระทั่งในงานที่พี่ทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้วจนเคยมือ ลองคิดเล่นๆ นะครับว่ามันมีวิธีการทำงานแบบอื่นอีกไหมที่สามารถทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ถูกต้องแม่นยำขึ้น ไม่ใช่เพื่ออะไรนะครับ เพื่อให้พี่สามารถกลับบ้านไปดูแลครอบครัว แมว และต้นไม้ได้ ฮ่าๆ
เพราะยิ่งพี่ทำงานดี พี่จะอยู่รอดในองค์กรได้ดี และแปลว่าพี่จะสามารถกลับมาดูแลครอบครัว แมว และต้นไม้ได้ แต่ถ้าพี่ทำงานได้ไม่ดี และวันหนึ่งมีสิ่งที่สามารถมาแทนที่พี่ได้ พี่ก็อยู่รอดในองค์กรที่พี่จะสามารถมีเงินและมีเวลาไปเลี้ยงครอบครัว แมว และดูแลต้นไม้ไม่ได้ เห็นไหมครับว่ามันเชื่อมโยงกันอยู่
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เหลือรอดมาในปัจจุบันก็สอนเราแล้วครับว่า ไม่ใช่สิ่งที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่ได้เสมอไป แต่เป็นสิ่งที่สามารถปรับตัวได้ในความเปลี่ยนแปลงต่างหากคือผู้อยู่รอด ไม่งั้นไดโนเสาร์คงไม่สูญพันธุ์ไปหรอก จริงไหมครับ (อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างตามทำเนียบ ฮ่าๆ)
ความสุขของพี่อาจจะไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน อันนั้นไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยพี่รู้ว่าความสุขของพี่อยู่ที่บ้าน แต่ผมแค่แอบเสียดายนิดหนึ่งว่า วันๆ หนึ่งพี่ใช้เวลาในที่ทำงานตั้งหลายชั่วโมง ถ้าเวลาหลายชั่วโมงนั้นจะพอเป็นช่วงเวลาที่พี่มีความสุขได้บ้างก็คงดี บางทีความสุขในการทำงานของพี่อาจหมายถึงการทำงานให้เสร็จด้วยดีก็ได้ หมายถึงการฝึกตัดเรื่องเครียดออกจากสมองเราก็ได้ หรือหมายถึงการมีเพื่อนร่วมงานที่ดีก็ได้ ถ้ามองมันให้กลายเป็นความสุขของเราได้และชื่นชมยินดีกับมัน เราก็จะทำงานอย่างมีความสุข และกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
ถ้าแมวคือความสุขที่อยู่ที่บ้าน แล้ว ‘แมว’ ที่อยู่ที่ออฟฟิศของพี่คืออะไรครับ
ขอให้เจอ ‘แมว’ ตัวนั้นนะครับ
* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Karin Foxx