วันนี้ (29 พฤศจิกายน) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยระหว่างแถลงสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ระบุว่า จากข้อมูลระบบการเฝ้าระวังในประเทศ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายทั่วประเทศทำการตรวจรหัสพันธุรกรรมมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
กรมวิทย์ฯ ได้รับตัวอย่างเชื้อจากผู้เดินทางเข้าประเทศ 75 ตัวอย่าง ตรวจเสร็จแล้ว 45 ตัวอย่าง พบเป็นสายพันธุ์เดลตาหรือสายพันธุ์ย่อยเดลตาทั้งหมด ส่วนอีก 30 ตัวอย่างผลจะออกในเร็วๆ นี้ ล่าสุดได้นำตัวอย่างเชื้อของผู้เดินทางเข้าประเทศในระบบ Test & Go จากโปแลนด์, รัสเซีย, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, มองโกเลีย, ไอร์แลนด์ และลาว มาตรวจรวม 8 ตัวอย่าง พบเป็นเดลตาและสายพันธุ์ย่อยเดลตา ยังไม่พบสายพันธุ์โอไมครอน
นพ.ศุภกิจกล่าวต่อว่า ในการตรวจหาสายพันธุ์มี 3 วิธี คือ
- ตรวจ RT-PCR ด้วยน้ำยาเฉพาะของแต่ละสายพันธุ์ เช่น อัลฟา เบตา เดลตา ใช้เวลา 1-2 วัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีน้ำยาเฉพาะของโอไมครอน ซึ่งขณะนี้ กรมวิทย์ฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาน้ำยาสำหรับตรวจจับเชื้อโอไมครอน โดยคาดว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะสำเร็จ
- การตรวจตำแหน่งรหัสพันธุกรรมว่าเป็นสายพันธุ์ใด ใช้เวลา 3 วัน
- การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ใช้เวลานาน 5-7 วัน
ทั้งนี้ วิธี RT-PCR เป็นวิธีการตรวจมาตรฐานที่ประเทศไทยและทั่วโลกใช้ สามารถตรวจสายพันธุ์โอไมครอนได้โดยกำหนดให้มีการตรวจยีนมากกว่า 1 ยีน หรือตรวจยีนมากกว่า 1 ตำแหน่ง
ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าสายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์จนมีส่วนทั้งของอัลฟาที่ตำแหน่ง HV69-70deletion และเบตาที่ตำแหน่ง K417N จึงให้ตรวจตัวอย่างด้วยน้ำยาเฉพาะอัลฟาและเบตา หากพบผลบวกทั้งคู่มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นโอไมครอน ขณะนี้ได้ประสานศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศใช้เป็นเทคนิคในการตรวจเพื่อความรวดเร็ว
สำหรับการตรวจด้วย ATK เบื้องต้นยังสามารถใช้ได้ เนื่องจากมีรายงานการศึกษาทางวิชาการพบว่า การกลายพันธุ์ยังไม่กระทบต่อโปรตีนที่ใช้ในการตรวจ ATK
อย่างไรก็ตาม จะประสานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอให้บริษัทผู้ผลิตหรือนำเข้า ATK แสดงข้อมูลที่บ่งบอกประสิทธิผลในส่วนนี้เพิ่มเติม ส่วนกรณีการตรวจผู้เดินทางเข้าประเทศในระบบ Test & Go ที่จะเปลี่ยนจาก RT-PCR มาเป็น ATK นั้น
ขณะนี้ กรมวิทย์ฯ จะมีการทบทวนให้ใช้การตรวจด้วย RT-PCR เหมือนเดิมไปก่อน และกรณีที่พบผลบวกในผู้เดินทางเข้าประเทศทุกระบบขอให้ส่งเชื้อมาตรวจรหัสพันธุกรรม เพื่อเฝ้าระวังว่ามีสายพันธุ์โอไมครอนเข้ามาหรือไม่
ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุถึงความรุนแรง ความสามารถในการแพร่ หรือการหลบภูมิคุ้มกันของสายพันธุ์โอไมครอนได้ เนื่องจากข้อมูลมีจำกัด เป็นเพียงการสันนิษฐานจากตำแหน่งที่กลายพันธุ์เท่านั้น แต่การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด และใช้มาตรการป้องกันคือ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ลดกิจกรรมรวมกลุ่มที่ไม่จำเป็น ร่วมกับสถานบริการใช้มาตรการ COVID-FREE Setting ก็จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อทุกสายพันธุ์ได้
อ้างอิง: