×

ศาลอาญายกฟ้องคดีพันธมิตรปิดสนามบิน ไม่ผิดกบฏ-ก่อการร้าย แต่ให้ลงโทษบางแกนนำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

โดย THE STANDARD TEAM
17.01.2024
  • LOADING...

วันนี้ (17 มกราคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.973/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 32 คน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นกบฏ-ก่อการร้ายฯ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ

 

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2551 จำเลยได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่ กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพีท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้เสียหายที่ 2 และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้เสียหายที่ 3 และปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวง ผู้เสียหายที่ 4 ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายที่ 5 ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผู้เสียหายที่ 6 และร่วมกันขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน รวมทั้งจำเลยกับพวกได้ชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกดดันให้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออก

 

คดีนี้พวกจำเลยให้การปฏิเสธ โดยศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 แต่จำเลย 4 คน มีอาการป่วย และ ประพันธ์ คูณมี ติดภารกิจเข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ศาลจึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษา

 

โดยในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาล ยกเว้น พล.ต. จำลอง ศรีเมือง และ เทิดภูมิ ใจดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ศรีสะเกษ ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยจะมีการเชื่อมสัญญาณอ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

 

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1-5 จำเลย 7-13 และจำเลยที่ 31 ประกอบด้วย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง, สนธิ ลิ้มทองกุล, พิภพ ธงไชย, สมศักดิ์ โกศัยสุข, สุริยะใส กตะศิลา, ศิริชัย ไม้งาม, สำราญ รอดเพชร, มาลีรัตน์ แก้วก่า, สาวิทย์ แก้วหวาน, สันธนะ ประยูรรัตน์, ชนะ ผาสุกสกุล, รัชต์ชยุตม์ หรือ อมรเทพ หรือ อมร ศิริโยธินภักดี หรือ อมร รัตนานนท์ และบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด

 

กระทำความผิดฐานบุกรุกและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดคือความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พิพากษาให้ลงโทษปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนข้อหาอื่น พยานและหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่เหลือศาลได้ยกฟ้องทั้งหมด

 

ด้าน ประพันธ์ คูณมี ให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษา ระบุว่า น้อมรับในคำพิพากษาของศาลและยืนยันว่าการชุมนุมในครั้งนั้นเป็นการชุมนุมโดยสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ

 

ในคดีนี้อัยการยื่นฟ้องหลายข้อหา เช่น ข้อหาบุกรุกฯ ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาก่อการร้าย ชุมนุมโดยก่อการวุ่นวาย ข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงาน ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นต้น

 

สำหรับประเด็นที่ศาลวินิจฉัยคือการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 โดยมีจุดมุ่งหมายคือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้การกระทำผิดเรื่องคอร์รัปชันของนักการเมืองหายไป

 

ซึ่งการชุมนุมในครั้งนั้นแม้จะเป็นพื้นที่สนามบินดอนเมือง แต่เป็นการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งร้านค้า ประชาชนสามารถเข้าใช้ได้ เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งการชุมนุมไม่มีการทำร้ายผู้โดยสาร พนักงานสายการบิน รวมถึงการชุมนุมดังกล่าวไม่มีการพกอาวุธ ก่อจลาจลวุ่นวาย ถึงแม้จะเกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนบ้างก็เป็นเรื่องปกติของการชุมนุม

 

ประพันธ์กล่าวต่อว่า ศาลจึงมองว่าการชุมนุมโดยรวมทั้งหมดเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดในฐานก่อการร้าย รวมถึงข้อหาอื่นๆ ซึ่งข้อหาก่อการร้ายที่ยกฟ้องนั้นเนื่องจากการชุมนุมนั้นไม่มีการใช้อาวุธทำลายระบบคมนาคมขนส่งหรืออากาศยาน จึงถือว่าไม่เข้าข่ายความผิด

 

ในส่วนข้อหาบุกรุกซึ่งสถานที่ดังกล่าวมีการใช้เป็นการประชุม ครม. เป็นการชั่วคราวของรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งช่วงที่พันธมิตรเคลื่อนขบวนเข้าไปได้เข้าไปในห้องประชุมที่ใช้ในการประชุมจริง ศาลจึงมองว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จึงเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุก และขณะนั้นเป็นช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย แต่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ผิดกฎหมายหลายบท ศาลจึงลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising