โรคระบาดไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่ได้ทิ้งร่องรอยให้เราเห็นในช่วงก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน โดยทางทฤษฎีแล้ว โรคระบาดรุนแรงมักเกิดขึ้นในสังคมที่คนรวมกลุ่มกันหนาแน่น โดยเฉพาะนับตั้งแต่ยุคหินใหม่เป็นต้นไป เพราะเป็นยุคแรกเริ่มที่มนุษย์เริ่มอยู่กันเป็นสังคมในระดับหมู่บ้าน บ้างมีขนาดเล็ก บ้างมีขนาดใหญ่ ต่างจากในสมัยก่อนหน้านี้ที่เป็นสังคมในระดับครอบครัวเท่านั้น โรคระบาดจึงไม่รุนแรงด้วยจำกัดอยู่ในวงแคบ
การรวมกลุ่มกันได้นี้หมายความว่า จะต้องมีความมั่นคงด้านอาหาร ดังนั้น แนวคิดที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ เป็นผลมาจากการค้นพบวิธีการเพาะปลูกหรือทำกสิกรรม ส่งผลทำให้ชุมชนมีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงประชากร และไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหาอาหารอีก นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบาด นอกจากนี้ในสังคมยุคหินใหม่นี้ เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เริ่มพัฒนาศาสนาแบบรวมกลุ่มกันขึ้น ดังนั้น จึงเกิดการทำพิธีกรรม มีพื้นที่กลางทางศาสนา เมื่อมีคนป่วยไข้กันมากๆ คนก็จะมารวมกลุ่มกันทำพิธีกรรม ซึ่งนี่เองที่ผลักดันให้คนมาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียว และติดโรคระบาดกันเป็นวงกว้าง
ย้อนกลับไปในสมัยดึกดำบรรพ์ โรคระบาดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานคือ โรคคุดทะราด (Yaws Bacteria) ค้นพบในกลุ่มสายพันธุ์มนุษย์โฮโม อีเร็กตัส ซึ่งมีอายุ 1,500,000 ปีมาแล้วในแอฟริกา เมื่อมนุษย์สายพันธุ์นี้อพยพเคลื่อนย้ายออกจากทวีปแอฟริกา จึงทำให้ต่อมาพบว่ามันแพร่กระจายไปยังอิตาลีเมื่อ 500,000 ปีมาแล้ว
โรคระบาดที่ทำให้คนตายเป็นจำนวนมากในเวลาต่อมานั้นคือ ฝีดาษ (Smallpox) เกิดขึ้นเมื่อราว 11,000-10,000 ปีมาแล้ว โดยการค้นพบเก่าที่สุดที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา จากนั้นคงแพร่กระจายออกไปยังที่ต่างๆ โดยในอินเดียพบโครงกระดูกที่มีอายุราว 10,000 ปีมาแล้ว ฝีดาษนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มาจากหนู เป็นไปได้ว่ามนุษย์คงจะไปสัมผัสกับเชื้อจากหนู หรือกินหนูตัวนั้นเข้าไป จากนั้นก็ป่วย แล้วแพร่กระจายโรคไปในชุมชน
ขอข้ามเวลามาหน่อย เมื่อเข้าสู่ยุคโลหะที่มนุษย์รวมกลุ่มเป็นสังคมหมู่บ้านขนาดใหญ่ แล้วพบว่าโรคฝีดาษนี้ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการค้า ดังนั้น เมื่อราว 3,500 ปีมาแล้ว ได้พบในมัมมี่หลายศพของอียิปต์ที่ติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งพ่อค้าชาวอียิปต์นี้เองที่เป็นผู้แพร่กระจายโรคฝีดาษไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในเขตอาระเบียจนถึงอินเดีย เช่นเดียวกับในกรุงเอเธนส์ของกรีก ที่พบโรคฝีดาษระบาดเมื่อ 430 ปีก่อน ค.ศ. จนส่งผลกระทบต่อกองทัพของชาวกรีก และมีประชากรตายเป็นจำนวนมหาศาล
ในทางโบราณคดีแล้ว เมื่อคนตั้งถิ่นฐานถาวรจึงเกิดการทิ้งขยะ และยังมีข้าวในนาที่ทำให้หนูเข้ามาอยู่ตามบ้านคน จนนำไปสู่การเกิดโรคระบาด ในช่วงเวลาเดียวกันนี้คือเมื่อราว 10,000 ปีมาแล้ว ในเขตลุ่มน้ำไนล์ ประชากรได้เพิ่มมากขึ้น และอยู่รวมกันเป็นสังคมหมู่บ้านหนาแน่น หลักฐานจากโครงกระดูกพบว่า ได้เกิดโรคระบาดจากเชื้อไวรัสใหม่ๆ ขึ้นได้แก่ โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน และโรคโปลิโอ
ปรากฏการณ์หนึ่งที่พบด้วยในระยะราว 10,000 ปีมาแล้วคือ การติดโรคจากสัตว์เลี้ยง ตัวอย่างเช่น ในเขตเมดิเตอร์เรเนียน มนุษย์เริ่มนำสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นหมู วัว แพะ แกะ ม้า อูฐ แมว และหมา ทำให้เชื้อโรคจากสัตว์นั้นเริ่มติดมาสู่คน แต่อัตราการติดจากสัตว์ไปสู่คนนั้นก็ไม่ได้สูงจนน่ากลัว เพราะเชื้อโรค เช่น ไวรัส ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ และในเวลานั้นประชากรก็ยังไม่หนาแน่นมากจนเชื้อโรคสามารถติดต่อไปได้เรื่อยๆ
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เริ่มมีโรคระบาดเพิ่มขึ้นหลายชนิด เพราะมนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น อันเป็นผลมาจากเริ่มมีความรู้ในเรื่องของการทำไร่และเพาะปลูก ปรากฏว่าช่วงเวลานี้ได้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ขึ้นคือ มาลาเรีย (Malaria) ซึ่งได้สังหารคนไปมากถึง 2 ล้านคนในแอฟริกา สาเหตุที่ทำให้โรคนี้ระบาดมาก เพราะบ้านของคนมักขุดบ่อน้ำเอาไว้ ทำให้ยุงไปวางไข่ และเกิดการแพร่กระจายของโรคไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อไม่นานมานี้มีนักวิจัยชาวยุโรปค้นพบว่า โรคระบาดที่รุนแรงและแพร่กระจายไปเป็นวงกว้างนั้น เกิดขึ้นในยุโรปก่อนเพื่อน โดยพบหลักฐานการเกิดกาฬโรคระบาดตั้งแต่ปลายสมัยยุคหินถึงสมัยสำริด หรือราว 5,700-4,800 ปีมาแล้ว จากการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์โบราณกว่า 500 ตัวอย่างจากทั่วยุโรป พบว่ามีร่องรอยของการป่วยเป็นกาฬโรคจำนวน 6 โครง ซึ่งโครงกระดูกทั้ง 6 โครงนี้มีอายุอยู่ในช่วงปลายยุคหินใหม่ต่อกับสมัยสำริด โดยเป็นโครงกระดูกจากรัสเซีย เยอรมนี ลิทัวเนีย เอสโตเนีย และโครเอเชีย ซึ่งเชื่อว่ากาฬโรคที่ระบาดนี้มีแนวโน้มว่าแพร่กระจายมาจากตะวันออกไกล
อเล็กซานเดอร์ เฮอร์บิ๊ก แห่งสถาบันแม็ค พลังค์ ประเทศเยอรมนี ได้ให้ข้อมูลอีกด้วยว่า โครงกระดูก 2 โครงจากรัสเซียและโครเอเชีย ซึ่งถือเป็นโครงกระดูกที่พบว่าเป็นกาฬโรคที่เก่าที่สุดนั้นพบว่า มีอายุร่วมสมัยกันกับโครงกระดูกที่พบในเขตภูเขาอัลไตของไซบีเรีย
กาฬโรคที่คนในยุโรปสมัยโบราณเป็นนี้จัดเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ ‘เยอร์ซิเนีย เพสติส’ (Yersinia Pestis) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคระบาดอย่างรุนแรงในหลายช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญเช่น การระบาดของกาฬโรคในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งคาดการณ์กันว่าทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 30-60%
นอกจากนี้ จากการที่โครงกระดูกทั้ง 6 โครงอยู่ในช่วงอายุที่แตกต่างกัน และคนละพื้นที่ สะท้อนว่ากาฬโรคนี้มีการระบาดหลายระลอก ระลอกแรกๆ คงเกิดขึ้นเมื่อราว 4,800 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนในเขตยุโรปเริ่มติดต่อทำการค้ากับคนในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ แต่การระบาดครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้นเมื่อคนจากเขตทุ่งหญ้าสเตปป์แถบแคสเปียน-พอนติก ได้อพยพเข้าไปยังรัสเซียและยูเครน คาดการณ์กันว่ามีคนอพยพเข้ามามากถึง 10,000-20,000 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีดีเอ็นเอที่แตกต่างไปจากชาวยุโรป และทำให้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้น ดังนั้น นักวิจัยจึงสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า กาฬโรคนี้เริ่มต้นมาจากกลุ่มชนที่เป็นบรรพชนในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้นักวิจัยจึงมีข้อสมมติฐานด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้โรคระบาดแพร่กระจายเข้ามายังยุโรป คงเป็นเพราะกลุ่มชนในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์นี้ประสบเคราะห์กรรมจากโรคระบาดอย่างรุนแรง ทำให้หนีออกมาทางยุโรป จนโรคระบาดนี้แพร่กระจายมายังพื้นที่ยุโรป ถึงจะฟังดูร้ายแรง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้ว่าโรคระบาดนั้นมีส่วนผลักดันต่อการอพยพของมนุษย์ในสมัยโบราณเป็นอย่างมาก
ความจริง ประวัติศาสตร์ของโรคระบาดในโลกนี้ยังมีรายละเอียดอีกมาก ผมเพียงคัดเฉพาะบางเรื่องบางตอนออกมาเท่านั้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า โรคระบาดนั้นเกิดขึ้นในสังคมที่มนุษย์รวมอยู่กันเป็นกลุ่มนับตั้งแต่เริ่มรู้จักการเพาะปลูก และอยู่กันเป็นสังคมเมือง ผลจากการตั้งถิ่นฐานถาวรและเลี้ยงสัตว์นี้เอง ที่ทำให้มีโรคระบาดหลากหลายชนิดขึ้น และเริ่มเกิดโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน
ในกรณีของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น ก็จะเห็นได้ว่ามันรุนแรงในจีนมาก อันเป็นผลมาจากการมีประชากรหนาแน่น ก็ไม่แปลกเลยที่จีนจะต้องออกมาตรการมากมายเพื่อจำกัดวงของการระบาด หวังว่าโรคระบาดจะไม่แพร่กระจายไปมากกว่านี้ และรักษาได้ทันท่วงทีครับ ส่วนในไทย ประชาชนก็คงได้แต่ต้องระมัดระวังตัว และป้องกันเอาเอง ในเมื่อรัฐมนตรีของเรามองมันเป็นแค่เพียงไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- Mary Ellen Snodgrass. World Epidemics: A Cultural Chronology of Disease from Prehistory to the Era of Sars. North Carolina: McFarland&Company, Inc. Publishers., 2011.
- Pual Rincon. “Plague reached Europe by Stone Age,” BBC, 22 Nov. 2017. Available at: www.bbc.co.uk/news/science-environment-42083252
- Wiki. “Social history of viruses,” Available at: en.wikipedia.org/wiki/Social_history_of_viruses#In_prehistory