วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่หอประชุมใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ร่วมอภิปรายในวาระแจ้งให้ทราบเรื่องรายงานของผู้สอบบัญชี และรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรมสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2561
โดยระบุว่า การเปิดให้ ส.ส. ได้อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องศาลนั้น สะท้อนว่า เรายืนยันเรื่องหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ทั้ง 3 ฝ่าย ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน เพียงตรวจสอบถ่วงดุลกันและกัน การอภิปรายเป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบของ ส.ส. แม้ท้ายที่สุดเป็นวาระแจ้งเพื่อทราบ ไม่มีการลงมติ แต่อย่างน้อยคงเป็นประโยชน์ต่อสำนักงานศาลยุติธรรม สตง. และสำนักงบประมาณ ซึ่งในการอภิปรายครั้งนี้จะอยู่ใน 2 ประเด็น คือ 1. ความเห็นของผู้สอบบัญชี และ 2. งบประมาณซึ่งเจาะจงงบการเงิน ส่วนการเงินที่เกี่ยวกับค่าใช้สอย
ปิยบุตรกล่าวว่า ประเด็นที่ 1 ผู้สอบบัญชี คือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำรายงานผู้สอบบัญชีเสนอต่อประธานศาลฎีกา เป็นความเห็นอย่างมีเงื่อนไข หมายความว่า รายงานการเงินศาลยุติธรรมถูกต้องตามมาตรฐาน เว้นแต่มีบางรายการที่ไม่ได้มาตรฐาน
ส่วนนี้จากการสุ่มตรวจพบว่า มีปัญหา 3 ข้อ
1. เกี่ยวกับรายการที่มียอดคงเหลือตามบัญชีต่ำกว่ารายละเอียด คือเงินสดหายไปจากบัญชี 162 ล้านบาท
2. คุรุภัณฑ์ประเมินแล้วมูลค่าหายไป 40 ล้านบาท
3. เงินฝากศาลจังหวัดนนทบุรี 6 บัญชี มีการบันทึกไม่ตรงกับเช็คที่มีการสั่งจ่าย ซึ่งจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญเรื่องบัญชี เห็นว่าเป็นความผิดพลาดบกพร่องทางบัญชีที่ค่อนข้างร้ายแรง เรื่องเหล่านี้หากเป็นบริษัทมหาชน ผู้ถือหุ้นอาจเรียกร้องความรับผิดชอบจากคณะกรรมการบริหารได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นองค์กรบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น หรือส่วนราชการเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งกรณีนี้หัวหน้า คสช. ก็เคยใช้อำนาจตาม ม.44 ให้ยุติการทำหน้าที่มาแล้ว จึงอยากทราบว่า ระบบตรวจสอบการรับผิดชอบนี้ ทางสำนักงานศาลยุติธรรมมีการรับผิดชอบอย่างไรในเรื่องที่เกิดขึ้น
ประเด็นที่ 2 งบการเงินแสดงผลการเงินส่วนค่าใช้สอย ซึ่งจากการตรวจสอบมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากปี 2560 สูงถึง 330 ล้านบาท ขณะที่รายการอื่นไม่เพิ่มหรือเพิ่มเล็กน้อย ซึ่งพอไล่ดูทีละรายการค่าใช้สอยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ ค่าใช้จ่ายในการประชุม ซึ่งในปี 2560 อยู่ที่ 24 ล้านบาท ขณะที่ 2561 เพิ่มเป็น 196 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 172 ล้านบาท หมายความว่าค่าใช้จ่ายการประชุมคือเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีการออกระเบียบเริ่มจ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560
ซึ่งจากการค้นไปอีกว่า เอาระเบียบอะไรมาจ่ายก็พบว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ประธานศาลฎีกาในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือ กบศ. ได้ลงนามในประกาศระเบียบว่าด้วยเรื่องเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่และการประชุมแผนกคดีในศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ซึ่งระเบียบฉบับนี้ องค์กรต่างๆ จะออกต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ซึ่งก็อ้างถึง ม.17 (1) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 เมื่อไปตรวจสอบก็เขียนว่า ให้ กบศ. มีอำนาจออกระเบียบ แต่เพื่อการบริหารราชการศาลยุติธรรมเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเบี้ยประชุมในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลอุทธรน์
“จากการตรวจสอบไปอีกพบว่า ประธานศาลฎีกาท่านก่อนเคยมีเรื่องเข้าที่ประชุม กบศ. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 ว่า หากต้องการออกระเบียบเบี้ยประชุม ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ
“ดังนั้น ท่านจึงไม่ยอมลงนาม แต่พอคนปัจจุบันเข้ามารับตำแหน่ง กลับมีการออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมขึ้นมา อ้างถึง ม.17 (1) ซึ่งในภายหลัง ในช่วงต้นปีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมฉบับ 4 ปี 2562 มีเรื่องสำคัญคือ มีการเพิ่ม (1/1) ใน ม.17 เพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการ กบศ. ออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการ ซึ่งเข้าร่วมประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ซึ่งเรื่องนี้มีนัยสำคัญ เพราะตอนใช้อำนาจตาม ม.17 (1) ออกระเบียบนั้นมีปัญหาทางกฎหมายหรือไม่ จึงเพิ่ม (1/1) ขึ้นมาตอนที่ สนช. ผ่านกฎหมายเรื่องนี้” ปิยบุตรกล่าว
ปิยบุตรกล่าวว่า ผ่านมา 1 ปี ค่าใช้จ่ายในการประชุมเพิ่ม 172 ล้าน ซึ่งตอนนี้มีกฎหมายรองรับแล้ว แต่ขอตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสม ซึ่งระเบียบที่ประชุมกำหนดเบี้ยประชุมให้ครอบคลุมที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและชั้นศาลอุทธรณ์ ประกอบด้วย ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษ และศาลอุทธรณ์ภาค 1-9 ซึ่งที่ประชุมใหญ่ของศาลรวมแล้ว 12 ที่ประชุมใหญ่ ที่จะได้เบี้ยประชุมนี้ รวมแล้วผู้พิพากษา 1,101 คน โดยระดับประธานศาลจะได้ 10,000 บาท ผู้พิพากษาที่เป็นองค์ประชุมได้ 8,000 ผู้พิพากษาที่เข้าร่วมประชุมขั้น 4 ได้ 8,000 บาท ผู้พิพากษาที่เข้าร่วมประชุมชั้น 3 ได้ 6,000 บาท
ทั้งหมดนี้ สำนักงบประมาณทำตัวเลขประมาณการไว้ใช้จ่ายราว 207 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 17.2 ล้านบาทต่อเดือน ประเด็นดังกล่าวนี้ถือว่ามีปัญหาเรื่องความเหมาะสม ตรงที่ผู้พิพากษาแต่ละท่านมีเงินประจำตำแหน่ง มีรถประจำตำแหน่ง มีบ้านพัก เดือนเดือนหนึ่งคิดเป็นจำนวนเงินแสนกว่าบาท แต่ในการมาปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ยังได้เบี้ยประชุมอีก ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคกันระหว่างข้าราชการ ทั้งๆ ที่ข้าราชการฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการควรมีศักดิ์และศรีเท่าเทียมกัน
“ผมไม่ต้องการเรียกร้องว่าเราต้องได้เบี้ยประชุม ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้ ส.ส. ได้เบี้ยประชุมเหมือนศาล แต่ผมเรียกร้องว่า ถ้าเป็นไปได้ในอนาคต ขอให้ยกเลิกเบี้ยประชุมเสียดีกว่า ผมขออนุญาตสรุปแบบนี้ พวกเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุกวันนี้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติถูกตรวจสอบอย่างหนักเต็มที่ แต่ระบบการตรวจสอบองค์กรตุลาการนั้นไม่เข้มข้นเท่ากับพวกเรา การประกันความเป็นอิสระของศาลไม่ได้แปลว่าศาลจะต้องรอดพ้นจากการตรวจสอบได้ ผมเรียนว่าในต่างประเทศ ผู้แทนราษฎรของเขามีผู้ตรวจการที่เอาไว้ตรวจสอบการใช้อำนาจของกองทัพบ้าง ศาลบ้าง แต่ของประเทศไทยวันนี้ เราถูกลิดรอนอำนาจตรงนี้ไป ผมเรียกร้องว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ กบศ. จะยกเลิกระเบียบเบี้ยประชุมนี้ ซึ่งจะเป็นพระคุณอย่างมากต่อแผ่นดินไทย ที่จะได้ช่วยประหยัดงบประมาณลงไปได้ถึง 207 ล้านบาท” ปิยบุตรกล่าว
ภาพ: พรรคอนาคตใหม่
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล