Deutsche Bank ธนาคารยักษ์ใหญ่ชั้นนำของเยอรมนี เปิดเผยผลงานการศึกษาวิจัยชิ้นล่าสุดที่พบว่า ขณะนี้หุ้นดาวเด่นสายเทคโนโลยีที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ และมีรายได้จากทั่วโลกในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 มีผลกำไรและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่าบรรดาบริษัทเกือบทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 20 ประเทศ (G20) โดยมีเพียงจีนและญี่ปุ่นเท่านั้นที่มีผลกำไรมากกว่าเมื่อรวมมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนเข้าด้วยกัน
ทั้งนี้ หุ้น Magnificent 7 ประกอบด้วย Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla
นักวิเคราะห์ของ Deutsche Bank ชี้ว่า มูลค่าตลาดรวมของ Magnificent 7 เพียงอย่างเดียวจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ขณะที่ญี่ปุ่นสามารถเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ขณะเดียวกัน เพียงแค่มูลค่าตลาดของ Microsoft และ Apple รวมกันก็ใกล้เคียงกับบรรดาบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ของฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในระดับดังกล่าวค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากกำลังสะท้อนว่าระดับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกี่ยวพันกับตลาดหุ้นทั่วโลก หมายความว่าหากหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้มีปัญหาก็ย่อมทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนตามไปด้วยไม่ยาก
Jim Reid หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์โลกและการวิจัยเฉพาะเรื่องของ Deutsche Bank เตือนว่า ระดับการกระจุกตัวดังกล่าวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับช่วงปี 2000 และปี 1929 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกระจุกตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และทั้งสองช่วงเวลายังเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ระดับโลก
Reid ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่บริษัทใหญ่ๆ มีแนวโน้มที่จะหลุดออกจาก 5 อันดับแรก เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนและแนวโน้มผลกำไรที่เปลี่ยนแปลงไปตามพัฒนาการของตลาด แต่บริษัทสหรัฐฯ อย่างน้อย 20 บริษัทยังคงมีกำไรและมูลค่าตลาดที่รั้งอยู่ใน 50 อันดับแรกในปัจจุบัน
รายงานระบุว่า ในบรรดา Magnificent 7 หุ้นของ Microsoft รั้งท็อป 5 มายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997 ขณะที่ Apple เข้ามาอยู่ในทำเนียบในเดือนธันวาคม 2009 ส่วน Alphabet ไต่สู่ท็อป 5 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2012 ขณะที่ Amazon ตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 และผู้เข้ามาใหม่ล่าสุดคือ Nvidia ซึ่งเข้ามาตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2023
ด้าน Tesla ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรกมาเป็นเวลา 13 เดือนในช่วงปี 2021-2022 แต่ตอนนี้ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 10 โดยราคาหุ้นตกลงไปประมาณ 20% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 ในทางตรงกันข้าม หุ้นของ Nvidia ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นเกือบ 47% นับตั้งแต่ต้นปี
ขณะเดียวกัน Daniel Casali หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ Evelyn Partners ระบุว่า ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ช้า ความคึกคักของตลาดหุ้นในเวลานี้ก็สะท้อนได้ว่าเป็นแรงขับเคลื่อนที่จำกัดอยู่ในตลาดเพียงไม่กี่ตลาดในโลกเช่นกัน โดย Daniel ชี้ว่า มองเห็นแนวโน้มสัญญาณของโอกาสที่หุ้นในตลาดสหรัฐฯ จะสามารถขยายตัวเติบโตได้ดีกว่าตลาดทั่วโลกด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรกคือความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับมาร์จิ้นตลาดที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีหุ้นที่น่าจับตาอย่างหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างมากในตลาดวอลล์สตรีท
ประการที่สอง คือการปรับปรุงอัตรากำไร ซึ่งจะเป็นการสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ เลือกที่จะส่งต่อผลกระทบอัตราเงินเฟ้อให้กับลูกค้าด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้า
ภาพ: Yuichiro Chino / Getty Images
อ้างอิง: