วันนี้ (17 พฤษภาคม) อายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ต้องขังอยู่กว่า 300,000 คน และมีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานกว่า 13,000 คน ซึ่งตั้งแต่เกิดการระบาด กรมราชทัณฑ์ได้ใช้นโยบายในการสกัดกั้นไม่ให้เกิดภาวะการติดเชื้อในเรือนจำ โดยสั่งห้ามเข้า-ออก กักตัวผู้ต้องขังใหม่กลับมาจากการรักษา หรือกลับมาจากไปศาล 14 วัน ก่อนจะปล่อยกลับเข้าแดนปกติ โดยจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สองครั้ง หากพบเชื้อจะส่งไปรักษา
อายุตม์กล่าวว่า ในการระบาดรอบแรกมีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนไม่มาก แต่ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่ในช่วงของการระบาดรอบที่ 3 ในขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการติดเชื้อของประชาชนในประเทศด้วย ซึ่งเรือนจำทั่วประเทศมีทั้งหมด 143 แห่งนั้น เป็นสถานที่ปิด ไม่มีคนเข้า-ออก น่าจะควบคุมโรคได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงเรือนจำมีเจ้าหน้าที่ต้องควบคุมผู้ต้องขังไปรักษาหรือขึ้นศาลบ้าง ขณะที่สภาพภายในเรือนจำค่อนข้างคับแคบ มีปริมาณนักโทษจำนวนมาก และเกือบจะเข้าสู่สภาวะนักโทษล้นคุก
ดังนั้น ในเรื่องของสุขภาพอนามัยและการป้องกันโรคติดต่อต่างๆ จึงทำได้อย่างจำกัด ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ยืนยันว่า จะดูแลผู้ต้องขังที่อยู่ในความดูแลอย่างดีที่สุด ขณะที่สาเหตุที่มีรายงานผู้ติดเชื้อแบบก้าวกระโดดนั้น เป็นเพราะเมื่อพบเชื้อแล้วจึงได้มีการตรวจหาเชิงรุก 100% ตามแนวทางการสอบสวนโรค และจากรายงานพบว่า มีเรือนจำประมาณ 15 แห่งทั่วประเทศที่พบผู้ต้องขังป่วยโควิด-19 ซึ่งกำลังดำเนินการแก้ไข ส่วนที่เหลือก็ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ขอให้ประชาชนอย่าได้กังวลใจ หลังการติดเชื้อในเรือนจำที่มีอัตราการติดเชื้อมากกว่าภายนอกหลายเท่าเพราะอยู่ร่วมกันอย่างแออัด ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์จะยังคงปูพรมตรวจหาเชื้อต่อไป และคาดว่าอาจจะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอีก ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของทางเรือนจำได้มีการสั่งให้ Swab ตรวจหาเชื้อ 100% ทุก 7 วัน ขณะที่เรือนจำที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อนั้น ให้ประสานสาธารณสุขจังหวัดในการเข้าตรวจหาเชื้อทั้งหมดต่อไป
“จะประสานกรมควบคุมโรคเพื่อฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังครบ 100% ขอสนับสนุนยาต้านไวรัส รวมถึงเริ่มเตรียมจัดหาโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ ยืนยันว่ารักษาผู้ติดเชื้อทุกคนอย่างดี” อายุตม์กล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล