วันนี้ (21 ธันวาคม) การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มี ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานในการประชุม สรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ .. พ.ศ. …. หรือร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ฉบับพรรคประชาธิปัตย์ โดย วทันยา บุนนาค และผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมืองที่ได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างฯ ว่า พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นชื่อร่างกฎหมายที่สังคมทั่วไปใช้เรียกผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่นอกเหนือไปจากการสมรสของเพศชายและเพศหญิง ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม การจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคในการสมรสของสังคมไทยในปัจจุบัน
สรรเพชญกล่าวอีกว่า ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นพื้นฐานของทุกชีวิต ทุกชีวิตที่เกิดมาจะต้องสัมผัสกับความรัก ความรักเป็นจุดเชื่อมของความสัมพันธ์ ความรักเป็นบ่อเกิดแห่งการปลูกฝังความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ตนจึงเชื่อว่าความรักของมนุษย์นั้นไม่มีข้อจำกัด และไม่ควรมีกำแพงใดๆ มากีดกั้น มนุษย์ไม่ได้รักใครเพียงเพราะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่มนุษย์หลงรักใครคนใดคนหนึ่งเพียงเพราะความรู้สึกดีๆ ที่คนสองคนมีให้แก่กัน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เราควรต้องเคารพ
สรรเพชญกล่าวต่อไปว่า สังคมไทยในปัจจุบันนั้นเปิดกว้าง แต่ยังไม่เปิดรับให้สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคในฐานะความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน ด้วยการนำข้อจำกัดเรื่องเพศเข้ามาจำกัดความรัก วันนี้หลายประเทศทั่วโลกได้ปลดล็อกกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพราะเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการสร้างครอบครัวโดยไม่จำกัดเพศ
และปัจจุบันมีกว่า 34 ประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งประเทศอันดอร์ราเป็นประเทศล่าสุดที่มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และประเทศไต้หวันเป็นประเทศเดียวในทวีปเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในปี 2562
ทั้งนี้ หากวันนี้รัฐสภาได้อนุมัติร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ในทวีปเอเชียที่มีการมอบสิทธิและเสรีภาพของการสมรสให้แก่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
สำหรับร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมที่ตนเองและเพื่อนสมาชิกได้ร่วมเสนอนั้น ควรที่จะมีการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ในการจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่ ไม่ว่าจะมีเพศสภาพใด เมื่อมีการสมรสกันก็ควรที่จะได้สิทธิและประโยชน์ตามที่กฎหมายรองรับ
เช่น การให้สิทธิสถานะคู่รักทางกฎหมาย เป็นคู่สมรส, อายุขั้นต่ำที่จะสามารถจดทะเบียนสมรสคืออายุ 18 ปีขึ้นไป, สามารถจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติได้, สามารถจัดการทรัพย์สินร่วมกันได้, สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้, สามารถรับมรดกของคู่สมรสในกรณีที่ไม่ได้มีการทำพินัยกรรมได้, สามารถดำเนินการแทนคู่สมรสในกรณีที่เป็นผู้เสียหายในทางคดีอาญาได้, สามารถใช้นามสกุลของคู่สมรสได้, ไม่ต้องเสียภาษีมรดก กรณีรับมรดกจากคู่สมรสที่เสียชีวิต รวมถึงสามารถตัดสินใจเรื่องทางการแพทย์ได้
“ภายใต้การนิยามการสมรสของทุกคน…มีสถานะเป็นปัจเจกบุคคล เป็นคนเท่ากัน เหมือนกัน โดยไม่ได้มีการแบ่งแยกเพศ ซึ่งการสมรสของชายและหญิงในอดีตได้สิทธิอย่างไร ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็จะมอบสิทธิเหล่านั้นให้กับทุกคนเช่นเดียวกัน” สรรเพชญกล่าว
สรรเพชญได้ยกตัวอย่างในปี 2563 ว่า มีข้าราชการครูที่มีความหลากหลายทางเพศไม่สามารถใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลช่วยเหลือคู่ชีวิตของตนเองที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ หลังแต่งงานและอยู่กินกันมา 6 ปีได้ เนื่องจากกฎหมายไม่รองรับ และถูกจำกัดสิทธิพึงมีไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของฐานะการเงิน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสิทธิที่บุคคลควรได้รับ แต่กลับไม่ได้รับเพียงเพราะข้อจำกัดทางกฎหมาย
“ต่อจากนี้เราต้องสร้างสังคมที่ยอมรับและเปิดรับความหลากหลายทางเพศ โดยไม่กำหนดกรอบและสร้างบรรทัดฐานทางเพศให้ใคร แต่ควรที่จะให้บุคคลนั้นๆ เป็นผู้กำหนดและเลือกแนวทางของตนเอง สร้างวิถีความเป็นตัวเอง และสร้างความเสมอภาคทางสังคม ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 27 ที่ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน”
สรรเพชญกล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ตนเองขอถือโอกาสในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กำลังจะมอบของขวัญปีใหม่อันล้ำค่าให้กับประชาชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงประชาชนคนไทยทุกคน และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่รัฐสภาจะได้ร่วมกันอนุมัติร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมที่ทันโลกทันสมัยแห่งยุค จึงขอเชิญชวนเพื่อนสมาชิกผู้แทนราษฎรทุกท่าน ทุกพรรคการเมือง มาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์อันน่าภูมิใจ ในฐานะที่เราเป็นคนเท่ากัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอกัน ให้สำเร็จ
