×

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหารจากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง?

15.12.2025
  • LOADING...
อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง?

ในปี 2568 นับเป็นอีกห้วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่เกิดขึ้นและดับลง มีการเปลี่ยนแปลงหลายตลบ ทั้งการเปลี่ยนรัฐบาล การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ตลอดจนแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนไหวของนักการเมืองที่ย้ายขั้ว เปลี่ยนพรรค

 

พรรคการเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คาดว่าจะเป็น 2 พรรคการเมืองที่มีรากฐานจากอำนาจรัฐประหารปี 2557 อย่าง ‘พรรคพลังประชารัฐ’ และ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่มีภารกิจเพื่อสืบทอดอำนาจ

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 1

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

แถลงยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

 

เป็นเหตุให้แกนนำของทั้งสองพรรคการเมืองอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างเผชิญแรงกดดันทางการเมืองครั้งสำคัญบนสนามการเมือง ภายใต้บริบทที่แรงสนับสนุนเริ่มโรยรา ความเป็นเอกภาพ และอำนาจต่อรองลดถอยลงอย่างชัดเจน

 

จนก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า พรรคการเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับอำนาจหลังปี 2557 จะสามารถปรับตัวและยืนหยัดอยู่บนสนามการเมืองภายใต้กติกาประชาธิปไตยที่เข้มข้นขึ้นได้หรือไม่ หรือกำลังเดินเข้าสู่บทสรุปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

พรรคทหารไม่เคยอยู่ยั่งยืนยง

 

หากย้อนมองประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อกลิ่นควันปืนจางหาย และเสียงรถถังได้เงียบลง ภารกิจถัดมาของคณะนายทหารมักไม่ใช่การวางมือจากอำนาจ หากคือการชุบตัวทางการเมือง แปรสภาพจากเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้า สู่สูทสากล ผ่านยานพาหนะที่เรียกกันติดปากว่า ‘พรรคทหาร’

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 2

พล.อ.ประวิตร​ และ พล.อ.ประยุทธ์

ระหว่างการทำหน้าที่บนบัลลังก์คณะรัฐมนตรี ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร

 

ตลอดกว่า 90 ปีของการเมืองไทย พรรคทหารแทบไม่เคยดำรงอยู่อย่างยั่งยืน แม้ว่า ‘รัฐประหาร’ และ ‘การเลือกตั้ง’ จะคล้ายเป็นเส้นขนานที่ไม่ควรบรรจบกัน แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองกลับถูกนำมาผูกโยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ การสืบทอดอำนาจ แต่ไม่ว่าผ่านไปกี่ยุคสมัย จุดจบของพรรคเหล่านี้กลับคล้ายคลึงกัน คือ การล้มหายไปพร้อมกับการเสื่อมถอยของอำนาจผู้นำ

 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา แทบไม่มีพรรคทหารพรรคใดสามารถดำรงอยู่อย่างยั่งยืนยง ในระบอบการเมืองที่ประชาชนมีบทบาทมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

 

พรรคเสรีมนังคศิลา (ปี 2498): ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงที่อำนาจทางทหารยังครอบงำการเมืองอย่างชัดเจน พรรคทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางรัฐสภา มากกว่าการเป็นพรรคมวลชน และเสื่อมบทบาทลงอย่างรวดเร็วเมื่อจอมพล ป. หมดอำนาจ

 

พรรคสหประชาไทย (ปี 2511): ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับอำนาจของจอมพล ถนอม กิตติขจร ในยุคเผด็จการทหารแบบรัฐสภา พรรคขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และล่มสลายไปพร้อมกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

 

พรรคสามัคคีธรรม (ปี 2535): ก่อตั้งขึ้นหลังยุครัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เพื่อสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร การพยายามใช้อำนาจนอกระบบสวมเสื้อพรรคการเมืองนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรง และจบลงด้วยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 3

อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค

ยื่นเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ อดีตหัวหน้าคสช.

เป็นบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีในนามของพรรค

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

 

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ (ปี 2561): ก่อตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร 2557 ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 เพื่อเป็นฐานอำนาจทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีแกนนำสำคัญอย่างอดีตนายทหารระดับสูงอย่าง พล.อ.ประวิตร ร่วมอยู่ด้วย

 

แม้พรรคพลังประชารัฐจึงประสบความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล แต่กลับเผชิญปัญหาความแตกแยกภายใน การขาดอุดมการณ์ร่วม และการพึ่งพาอำนาจนอกระบบมากกว่าคะแนนนิยมของประชาชนในเวลาต่อมา

 

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (2564) แยกตัวออกมาในเวลาต่อมา เพื่อรองรับการกลับสู่สนามเลือกตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ ในปี 2566 โดยมีจุดยืนอนุรักษ์นิยม และการปกป้องสถาบันฯ อย่างชัดเจน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ยังถูกมองเป็น ‘พรรคเฉพาะกิจ’ ที่ผูกติดกับตัวบุคคลมากกว่าการสร้างฐานมวลชนหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ยั่งยืน

 

มากไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาเชิงลึกถึงเส้นทางของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว จะเห็นภาพการเปลี่ยนผ่านของพรรคการเมืองสายอำนาจรัฐประหาร ได้อย่างชัดเจนตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา

 

พรรคพลังประชารัฐก่อตั้งขึ้นในปี 2561 ทำหน้าที่เป็นพาหนะทางการเมืองของอำนาจรัฐประหารปี 2557 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ หวนคืนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ผ่านกลไกรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560

 

ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐได้ 116 ที่นั่ง แม้ไม่ได้ชนะเป็นอันดับหนึ่ง แต่สามารถรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองขนาดกลางและเล็ก ประกอบกับแรงสนับสนุนจากวุฒิสภา (สว.) ชุดเฉพาะกาล 250 คน ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดั่งฝัน และถือเป็นจุดสูงสุดของอำนาจทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 4

พี่น้อง 3 ป. พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ. ประวิตร และพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา

อยู่ในเฟรมภาพเดียวกัน

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

แต่หลังจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่นาน พรรคพลังประชารัฐเริ่มเผชิญปัญหาความขัดแย้งภายในอย่างต่อเนื่อง ความไม่เป็นเอกภาพของแกนนำ ไปจนถึงความตึงเครียดทางอำนาจระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับขั้วอำนาจรอบตัว พล.อ.ประยุทธ์ จนท้ายที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และทำให้พรรคค่อยๆ หมดพลังในทางการเมือง

 

ก่อนจะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แยกทางออกจากพรรคพลังประชารัฐ และย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่งผลให้พลังประชารัฐสูญเสียศูนย์กลางอำนาจ และจุดขายหลักของพรรค ขณะเดียวกัน สส. และอดีตแกนนำต่างก็ทยอยย้ายพรรคไปยังขั้วการเมืองอื่น จนทำให้โครงสร้างพรรคโรยราลง

 

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ผลการเลือกตั้งปี 2566 พรรคพลังประชารัฐได้จำนวน สส. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือแค่ 40 ที่นั่ง (เขต 39 + บัญชีรายชื่อ 1) และกลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในสถานะรอง จากเดิมที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สะท้อนการถดถอยทั้งในเชิงอำนาจ และความนิยมของพรรค

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 5

พล.อ.ประวิตร ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อเพียงหนึ่งเดียวของพลังประชารัฐ

ร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

5 กันยายน 2568

ภาพ : ศวิตา พูลเสถียร

 

ทำให้ตลอดปี 2568 พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่ช่วงขาลงทางการเมือง ทั้งจากความแตกแยกภายในพรรคครั้งใหญ่ และการย้ายขั้วทางการเมืองของอดีตแกนนำสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม รวมถึง สันติ พร้อมพัฒน์ บ้านใหญ่เพชรบูรณ์ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ซึ่งกระทบต่อโครงสร้างพรรคเต็มๆ

 

สุดท้ายแล้วเมื่อบทบาททางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐลดลง จนแทบไม่สามารถกำหนดทิศทาง หรือสร้างอำนาจต่อรองในรัฐบาลได้อีกต่อไป ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ พรรคพลังประชารัฐจึงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในฐานะพรรคที่ถือกำเนิดจากรัฐประหาร เติบโตอย่างรวดเร็ว และเสื่อมถอยรวดเร็วไม่แพ้กัน

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 6

พล.อ. ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ

สวมแจ็กเกต และร่วมกิจกรรมของพรรค ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 2566

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 ด้วยเป้าหมายชัดเจน คือ การทำหน้าที่เป็นพาหนะทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ แยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ โครงสร้างของพรรคถูกออกแบบโดยมีตัวบุคคลเป็นศูนย์กลาง มากกว่าการสร้างพรรคการเมืองเชิงสถาบันที่มีอุดมการณ์ และฐานมวลชนรองรับในระยะยาว

 

การเลือกตั้งปี 2566 พรรครวมไทยสร้างชาติได้ สส. 36 ที่นั่ง ได้คะแนนความนิยมพรรคถึง 4,766, 408 เสียง และได้ สส.บัญชีรายชื่อถึง 13 นั่ง ซึ่งที่มาจากคะแนนความนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ล้วนๆ แม้ไม่เพียงพอให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็เปิดทางให้พรรคเข้าร่วมรัฐบาล และรักษาบทบาททางอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ไว้ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านได้

 

หลังการเลือกตั้ง ปัญหาภายในพรรคเริ่มปรากฏชัด ทั้งความขัดแย้งระหว่างแกนนำ การจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง และคำถามต่อทิศทางในระยะยาว เนื่องจากพรรคไม่สามารถเสนออัตลักษณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนได้ นอกเหนือจากการสนับสนุนผู้นำ อีกทั้งโครงสร้างพรรคยังไม่เอื้อต่อการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ ขณะที่ สส. จำนวนไม่น้อยเป็นนักการเมืองที่ย้ายค่ายมาแบบเฉพาะกิจอีก

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์วางมือจากการเมืองไปรับตำแหน่งองคมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติก็เข้าสู่ภาวะไร้ศูนย์กลางอย่างแท้จริง และเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองมากขึ้นด้วย

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 7

พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.

ภาพ : ฐานิส สุดโต

 

ในปี 2568 แม้จะยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อไทยอยู่ แต่ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 5 กันยายน 2568 จากที่มีอยู่ในบัญชี คือ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย พรรคก็ได้แตกออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

 

1. กลุ่มพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลือกงดออกเสียง มุ่งประคองพรรคให้อยู่กับขั้วเพื่อไทย และพยายามดันเป็นมติพรรค แต่เผชิญแรงต้านจาก สส. ภายใน

 

2. กลุ่มเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โหวตสนับสนุนอนุทิน เพื่อย้ำจุดยืนขั้วอนุรักษนิยม เห็นว่าการหนุนรัฐบาลเดิมต่อไปอาจกระทบฐานเสียง

 

3. กลุ่มเพื่อนสุชาติ ชมกลิ่น โหวตสนับสนุนอนุทิน เปิดตัวเป็นแนวร่วม และลาออกจาก สส. เพื่อเปิดทางรับตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่ติดข้อจำกัดภายในพรรค

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 8

อนุทิน ชาญวีรกูล ให้การต้อนรับ

สุชาติ ชมกลิ่น และ ธนกร วังบุญคงชนะ

เดินทางเข้าสมัครพรรคภูมิใจไทย 24 ตุลาคม 2568

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ท้ายที่สุดแกนนำสำคัญอย่าง สุชาติ ชมกลิ่น, ธนกร วังบุญคงชนะ, เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รวมถึงกลุ่มบ้านใหญ่ ต่างทยอยมองหาทางเลือกใหม่ และเปิดตัวร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงิน สะท้อนความเปราะบางของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งในเชิงโครงสร้าง ความเป็นเอกภาพ และความเชื่อมั่นทางการเมืองอย่างชัดเจน

 

จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจึงไม่ต่างจากพรรคเฉพาะกิจ ที่เกิดมาเพื่อประคองอำนาจมากกว่าสร้างอนาคต ถูกออกแบบให้เดินไปกับผู้นำเพียงคนเดียว และเมื่อผู้นำนั้นก้าวลงจากเวที อนาคตของพรรคก็ย่อมเลือนรางตามไปด้วย

 

2 พรรคทหาร นับถอยหลังสู่วันร่วงโรย

 

ดังนั้น ภาพรวมของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติในปี 2568 จึงสะท้อนข้อจำกัดของพรรคการเมืองที่ถือกำเนิดจากอำนาจรัฐประหารอย่างชัดเจน แม้จะสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจรัฐได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อขาดการยึดโยงกับประชาชนในฐานะฐานอำนาจที่แท้จริง พรรคย่อมเข้าสู่ภาวะสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่พรรคเสรีมนังคศิลา สหประชาไทย สามัคคีธรรม จนถึงพรรคการเมืองที่มาจากรัฐประหารในปัจจุบัน ต่างสะท้อนรูปแบบซ้ำเดิม คือการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เติบโตจากอำนาจนอกระบบ และเสื่อมถอยลงพร้อมกับผู้นำที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ

 

อวสาน 2 พรรคเครือข่ายทหาร จากรัฐประหารเข้ารัฐสภา สู่จุดจบอันโรยรา บนสนามการเมือง? 9

พี่น้อง 2 ป. พล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประยุทธ์

ร่วมถ่ายภาพหมู่คณะรัฐมนตรี หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558

 

ท้ายที่สุด บทเรียนจากทั้งอดีตและปัจจุบัน คล้ายจะพาไปสู่ข้อสรุปเดียวกันว่า พรรคทหารไม่เคยดำรงอยู่อย่างยั่งยืนยง เมื่อภารกิจสืบทอดอำนาจสิ้นสุดลง พรรคการเมืองเหล่านี้ก็ย่อมค่อยๆ เลือนหาย เหลือไว้เพียงร่องรอยในหน้าประวัติศาสตร์

 

เพื่อย้ำเตือนว่า อำนาจที่ไม่ตั้งอยู่บนความยินยอมของประชาชน ไม่อาจยืนยาวในระบอบประชาธิปไตย และผลการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ตามกรอบ 45-60 วันตามกรอบรัฐธรรมนูญ จะเป็นตัวชี้ชัดว่าพรรคทหาร ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังเผชิญกับจุดจบของการเมืองไทยหรือไม่

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising