×

‘DELTA’ ร่วง 7.37% กองทุนขายปรับพอร์ตหลังหลุดกลุ่ม SET50 และ SET100 นักวิเคราะห์มองพื้นฐานยังน่าสนใจจากธุรกิจเกี่ยวเนื่องรถ EV-Data Center

29.12.2021
  • LOADING...
DELTA

หุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (29 ธันวาคม) โดยเปิดการซื้อขาย 434 บาท จากนั้นราคาปรับลดลงต่อเนื่องแตะราคาต่ำสุดของวันที่ระดับ 402 บาท ลดลง 7.37% จากราคาเปิด 

 

ขณะที่ราคาปิดการซื้อขายช่วงเช้าอยู่ที่ 408 บาท ลดลง 32 บาท หรือ 7.27% มูลค่าการซื้อขาย 2,405.62 ล้านบาท สวนทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ 1,649.41 จุด เพิ่มขึ้น 7.89 จุด หรือ 0.48% 

 

ทั้งนี้ ราคาตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน (YTD) DELTA เคยมีราคาต่ำสุดที่ 288 บาท เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 และราคาสูงสุดที่ 768 บาท เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงขายหุ้น DELTA ในช่วงนี้เกิดจากแรงกดดันจากการหลุดจากกลุ่มดัชนี SET50/SET100 ทำให้กองทุนดัชนีต้องปรับพอร์ตการลงทุน โดยประเมินว่าแรงขายในวันพรุ่งนี้ (30 ธันวาคม) ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของปีนี้ จะมีมากขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการหลุดออกจากดัชนี MSCI ด้วยหากว่าราคาหุ้น DELTA ปรับลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะผลไปถึงมาร์เก็ตแคป 

 

“แรงขายช่วงนี้เกิดจากกการปรับพอร์ตของกองทุน โดยเฉพาะกองทุนดัชนีที่ต้องลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ SET Index มากที่สุด ซึ่งพรุ่งนี้น่าจะมีแรงขายออกมาอีกเพราะเป็นวันสุดท้ายที่กองทุนดัชนีจะปรับหุ้นเข้า-ออกจากพอร์ต” 

 

สำหรับแนวโน้มปี 2565 ประเมินว่า DELTA มีความน่าสนใจจากการเป็นหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มได้อานิสงส์จากการก้าวเข้าสู่ New Economy ทั่วโลก นอกจากนี้ DELTA ยังโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ด้วยกัน เนื่องจากมีสินค้าที่เกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และธุรกิจ Data Center ทั้งนี้ บล.หยวนต้า ให้ราคาเหมาะสมหุ้น DELTA ในปี 2565 ที่ระดับ 380 บาท 

 

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ทิศทางกำไรสุทธิงวด 4/64 ของ DELTA จะกลับมาฟื้นตัวจากงวด 3/64 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิทั้งปี 2564 ลดลง 7.4% เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและน้ำท่วม ซึ่งกดดันแนวโน้ม Gross Margin ให้ลดลง 

 

สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 21.6% หลังจากปัญหาเรื่องวัตถุดิบเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่ความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หนุนแนวโน้มรายได้รวมปี 2565 เติบโต 9.3% จากปีนี้ 

 

ทั้งนี้ ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ไว้ที่ 190 บาท แม้แนวโน้มธุรกิจเติบโตระยะยาว เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่แพงและเกินมูลค่าพื้นฐานไปมาก จนล่าสุดมีค่า PER สูงถึง 72 เท่า 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X