เพียง 10 วันก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 นั้น ที่มหานครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง เหลียงเหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งกองทุน High-Flyer ประกาศเปิดตัวแชตบอตที่ทำให้ AI สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ในชื่อ DeepSeek-R1 และภายใน 2 สัปดาห์ DeepSeek กลายเป็นแอปพลิเคชันที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก
DeepSeek มีความสามารถใกล้เคียงกับ AI ตัวอื่นๆ ที่เป็นโมเดลพื้นฐานที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางภาษา (Large Language Model: LLM) อันเป็นเสมือนพื้นฐานของ Generative AI ซึ่งสามารถโต้ตอบ สร้างรูปแบบการสนทนากับมนุษย์ได้เสมือนเรากำลังสนทนากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (อย่างน้อยก็ใกล้เคียงมาก) มันแทบจะไม่แตกต่างจาก ChatGPT, Gemini, Lama AI หากแต่ DeepSeek กลับกลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ Generative AI เพราะ
- วางอยู่บนสถาปัตยกรรมที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก (โดยต้นทุนของการสร้างและพัฒนา DeepSeek อยู่ที่ราว 7-8% เมื่อเทียบกับต้นทุนในการสร้างและพัฒนา OpenAI ตัวอื่นๆ ของฝั่งโลกตะวันตก)
- เป็น Open Source นั่นคือ DeepSeek เปิดเผยรหัสต้นทาง เพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไข และแจกจ่ายได้อย่างเสรี
- เปิดให้ทุกคนสามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเหมือน AI ตัวอื่นๆ
ถึงแม้ว่าห้องปฏิบัติการด้าน AI ของ High-Flyer จะเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2023 และใช้เวลาเพียง 1 ปีในการพัฒนา DeepSeek แต่เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าการพัฒนานี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเรื่องบังเอิญหรือความเก่งกาจแบบเหนือมนุษย์ของนักวิทยาศาสตร์ในแล็บ หากแต่เกิดขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐาน สภาวะแวดล้อม (Ecosystem) ที่มีความพร้อมที่ทำให้นวัตกรรมเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นอาจต้องเท้าความกลับไปที่ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของรัฐบาลจีนที่ประกาศออกมาในปี 2015 พร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน (Five-Year Plan for National Economic and Social Development of the PRC) ฉบับที่ 13 (ปี 2016-2020) และฉบับที่ 14 (2021-2025)
Made in China 2025 เป็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภายในประเทศจีน ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศให้ได้มากกว่า 40% ในปี 2020 และเพิ่มเป็นมากกว่า 70% ในปี 2025 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจีนต้องส่งเสริมใน 4 มิติ
- ให้สิทธิพิเศษทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนในการวิจัยและพัฒนา
- สนับสนุนให้เอกชนจีนจับมือกับเจ้าของเทคโนโลยีทั่วโลก ผ่านการสร้างความร่วมมือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี จนถึงการควบรวมกิจการในลักษณะต่างๆ
- รัฐบาลต้องลงทุนเพิ่มขึ้น และให้เงินทุนสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาทั้งในวิสาหกิจของรัฐ และเอกชน รวมทั้งสถาบันการศึกษา
- รัฐบาลวางโรดแมปอย่างชัดเจนว่า ในแต่ละช่วงเวลารัฐบาลและเอกชนจีนที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ต้องบรรลุเป้าหมายเรื่องใดบ้าง และต้องสร้างระบบการประเมินผลและการถอดบทเรียน โดยเป้าหมายสำคัญๆ เช่น การกำหนดสัดส่วนเงินลงทุนด้าน R&D เมื่อเทียบกับตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ การวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต จำนวนห้องปฏิบัติการหลักที่ต้องสร้างในแต่ละพื้นที่
และรัฐบาลจีนมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อรับการสนับสนุนส่งเสริม 10 อุตสาหกรรม ได้แก่
- เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) เน้นการสร้างนวัตกรรมการใช้ประโยชน์จาก AI ในอุตสาหกรรม, IoT, เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
- อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) เน้นการสร้างนวัตกรรมทางวิชาการของ AI และ Machine Learning
- พลังงานสีเขียวและยานยนต์สีเขียว (Green Energy and Green Vehicles)
4. อุปกรณ์การบินและอวกาศ (Aerospace Equipment) - วิศวกรรมทางทะเลและเรือไฮเทค (Ocean Engineering and High Tech Ships)
6. วิศวกรรมทางรางและอุปกรณ์รถไฟ (Railway Equipment) - อุตสาหกรรมพลังงาน (Power Equipment)
- วัสดุศาสตร์ (New Materials)
- ยาและอุปกรณ์การแพทย์ (Medicine and Medical Devices)
- เครื่องจักรกลการเกษตร (Agriculture Machinery)
โดยทั้ง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจะมีการจับมือร่วมกับเอกชน เพื่อสร้างนวัตกรรม โดยเอกชนจีนที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Alibaba (e-Commerce), Aviation Industry Corporation of China (Aerospace), BAIC (New Energy Vehicles), Baidu (AI, Autonomous Vehicles), BBK Electronics (Consumer Electronics), BYD (New Energy Vehicles), CRRC (Rail), DJI (AI, Drones), Fujian Jinhua Integrated Circuit (DRAM Manufacturing), Geely (New Energy Vehicles), HUAWEI (Semiconductors, Telecommunications, Consumer Electronics), Megvii (AI), NIO (New Energy Vehicles), Sinopharm (Medicine), SMIC (Semiconductors), Tencent (e-Commerce) และ Xiaomi (Consumer Electronics) ต่างก็เข้ามาเป็นพันธมิตร
นอกจากนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ นโยบายการต่างประเทศด้านเศรษฐกิจที่มีนโยบายการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานภูมิภาคยูเรเชียอย่าง Belt and Road Initiative (BRI) และการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง BRICS ก็เป็นพลังขับเคลื่อนภายนอกให้ Made in China 2025 สามารถเข้าถึงวัตถุดิบ ทรัพยากรมนุษย์ และตลาด
ภาคสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรคุณภาพเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมก็ได้รับการส่งเสริมเช่นกัน และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะหากเราไปดูการจัดอันดับมหาวิทยาลัยด้านการทำวิจัยที่ดีที่สุดในโลกในปี 2024 โดย Nature Index ซึ่งเป็นการจัดอันดับของสำนักพิมพ์ Springer Nature ผู้ตีพิมพ์เผยแพร่วารสารวิชาการ และตำราสัญชาติเยอรมัน-อังกฤษ ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ อันได้แก่ Springer Science + Business Media, Nature Publishing Group ร่วมกับ Palgrave Macmillan และ Macmillan Education เราจะพบว่า 8 จาก 10 อันดับของมหาวิทยาลัยและสถาบันที่มีการทำวิจัยดีที่สุดในโลกตั้งอยู่ในประเทศจีน โดย 10 อันดับแรก ได้แก่
- Harvard University
- University of Chinese Academy of Sciences (UCAS)
- University of Science and Technology of China (USTC)
- Peking University (PKU)
- Nanjing University (NJU)
- Zhejiang University (ZJU)
- Tsinghua University
- Sun Yat-sen University (SYSU)
- Shanghai Jiao Tong University (SJTU)
- Massachusetts Institute of Technology (MIT)
เมื่อเราเห็นวิธีคิดและวิธีดำเนินยุทธศาสตร์เช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการก่อกำเนิดของแอปที่เขย่าสหรัฐฯ อย่าง TikTok, ยอดขายยานยนต์ EV ของ BYD ที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก จีนกลายเป็นประเทศที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่ปริมาณมากกว่า 300 กิกะวัตต์ ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 อยู่ที่ราว 40 กิกะวัตต์ หรือระบบรถไฟความเร็วสูงที่จีนมีรางยาวมากกว่า 25,000 กิโลเมตร และการสร้างชิปคอมพิวเตอร์ของ HUAWEI ที่แม้จะถูกกีดกันทางเทคโนโลยีจากโลกตะวันตกก็ตาม และล่าสุดการกำเนิดขึ้นของ Low-Cost AI ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง DeepSeek ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเฉลิมฉลองความสำเร็จของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และแผน 5 ปีฉบับที่ 14 อย่างสวยงาม
คำถามต่อไปคือ ในปีนี้ที่เป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 หลังจากนี้จีนจะเดินหน้าอย่างไรต่อ คำหนึ่งซึ่งได้ยินกันมาตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในแวดวงจีนศึกษาคือคำว่า ‘中国标准 2035’ (จงกั๋วเปียวจุ่น 2035) หรือ China Standards 2035
China Standards 2035 คือหนึ่งในว่าที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะเปิดตัวพร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ 15 (ปี 2026-2030) และฉบับที่ 16 (2031-2035)
จากการผลิตสินค้าและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในจีนในปี 2025 จีนจะมุ่งสู่การสร้างและกำหนดมาตรฐานจีนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในปี 2035 โดย China Standards 2035 มีโครงสร้างเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่เชื่อมโยงกันหลายประการ ได้แก่
- ความเป็นผู้นำระดับโลกด้านมาตรฐาน: จีนตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในธรรมาภิบาลระดับโลก ด้วยการกำหนดมาตรฐานสากลในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง กลยุทธ์นี้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบโทรคมนาคม 6G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทคโนโลยี และพลังงานหมุนเวียน
- การบูรณาการกับการพัฒนาในประเทศ: ยุทธศาสตร์นี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศที่สอดคล้องกับนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเน้นที่การพัฒนาอุตสาหกรรมคุณภาพสูงตามยุทธศาสตร์พลังการผลิตใหม่ (New Productive Forces), การฟื้นฟูชนบท (Rural Revitalization Strategy) และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
- การขยายการสร้างนวัตกรรมไปสู่สาขาใหม่: นอกเหนือจากภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน กลยุทธ์นี้ยังมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น Metaverse, Brain-Computer Interfaces, Bio-Manufacturing, Humanoid Robots, Generative AI, Artificial General Intelligence และ Future Energy Storage Solutions
- การพัฒนาสีเขียวและยั่งยืน: ยุทธศาสตร์ China Standards 2035 บูรณาการมาตรฐานเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutral) และเป้าหมายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านคาร์บอน 2 ประการของจีน (ระดับการปล่อยคาร์บอนสูงสุดภายในปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060)
- ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ: บริษัทต่างๆ ของจีนตั้งเป้าที่จะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจผ่านการกำหนดมาตรฐาน โดยเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และอำนวยความสะดวกในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี
และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ ยุทธศาสตร์ China Standards 2035 จะมีการตั้งกรอบระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายแต่ละขั้น ดังนี้
- ภายในปี 2025: สร้างระบบมาตรฐานพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ และเร่งสร้างมาตรฐานด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับมาตรฐานที่มีใช้กันอยู่แล้วในระดับโลก
- ภายในปี 2030: ปรับปรุงภาคการผลิตของจีนให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
- ภายในปี 2035: พัฒนาระบบมาตรฐานให้สมบูรณ์ เพื่อรองรับความเป็นผู้นำระดับโลก เพื่อสร้างความโดดเด่นและความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคการผลิตของจีนที่มีมาตรฐานสูงที่สุด
โดย 8 อุตสาหกรรมหลักที่จะต้องพัฒนามาตรฐานให้สูงที่สุดให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ได้แก่
- เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่: จีนต้องการพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคม 5G และ 6G, ปัญญาประดิษฐ์ AI, Big Data, Blockchain, และ Cloud Computing ที่มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำงานร่วมกันในระดับโลก มีความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนการนำไปใช้ทั่วโลก
- พลังงานใหม่: ครอบคลุมแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, พลังงานน้ำ, พลังงานความร้อนใต้พิภพ, พลังงานคลื่น รวมถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ พลังงานไฮโดรเจน และระบบกักเก็บพลังงาน จีนมุ่งหวังที่จะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการบริหารจัดการประสิทธิภาพพลังงานและการบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้า (Power Grid Integration)
- วัสดุศาสตร์: วัสดุขั้นสูงและวัสดุใหม่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โลหะผสมน้ำหนักเบา และนาโนวัสดุ จีนต้องการที่จะกำหนดมาตรฐานด้านความทนทานและความยั่งยืน ทั้งในมิติการผลิต ประสิทธิภาพในการใช้งานที่หลากหลาย และการทำลายเศษซากวัสดุหลังจากการใช้งาน
- อุปกรณ์ระดับไฮเอนด์: หุ่นยนต์ เทคโนโลยีอัตโนมัติ และระบบการผลิตอัจฉริยะ มุ่งเป้าไปที่เครื่องจักรที่มีความแม่นยำและเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูงที่ขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถเชื่อมโยงและบูรณาการเข้ากับโรงงานและกระบวนการผลิตทั่วโลก
- ยานยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle: NEV): เน้นการต่อยอดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีไฮบริด ไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน สร้างมาตรฐานแบตเตอรี่ การจัดเก็บและการบริหารการใช้พลังงานให้เกิดความเข้ากันได้ของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยานยนต์พลังงานใหม่
- การปกป้องสิ่งแวดล้อมสีเขียว: พัฒนามาตรฐานสำหรับการจัดการขยะ การควบคุมมลพิษ และเทคโนโลยีที่เป็นกลางทางคาร์บอน ส่งเสริมการใช้วัสดุและกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภค
- การบินพลเรือน: กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีสำหรับการผลิตเครื่องบิน โลจิสติกส์ และการจัดการจราจรทางอากาศ สนับสนุนการพัฒนาเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนและการดำเนินงานสนามบินสีเขียว
- เรือและอุปกรณ์วิศวกรรมมหาสมุทร: มาตรฐานสำหรับการต่อเรือ แพลตฟอร์มพลังงานนอกชายฝั่ง และเทคโนโลยีการสำรวจทางทะเล เพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงานทางทะเล
ลองนึกดูว่าแอปใหม่เพียง 1 ตัวที่เกิดขึ้นอย่าง DeepSeek ซึ่งกำหนดมาตรฐานใหม่อย่างน้อยที่สุดใน 3 ด้าน นั่นคือ การเปิดกว้างในการเข้าถึงรหัสข้อมูลต่างๆ แบบ Open Source, มาตรฐานด้านสถาปัตยกรรมที่ต้นทุนต่ำ ใช้อุปกรณ์ที่น้อยที่สุดภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัด และมาตรฐานใหม่ให้กับผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงบริการได้โดยราคาที่ต่ำที่สุดหรือให้บริการฟรี เพียง 3 มาตรฐานใหม่เหล่านี้ เมื่อรวมกับ Ecosystem อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้น อย่างเช่น บริษัทเอกชนจำนวนมากที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ จนตลาด AI ขยายตัวอย่างมหาศาล หรือห้องแล็บและมหาวิทยาลัยที่พร้อมจะดึงดูดนักเรียนและนักพัฒนา AI จากทั่วโลกให้มาเรียนรู้ ลองนึกดูว่านี่คือการประกาศชัยชนะ ณ จุดเริ่มต้นของการเดินหน้าไปสู่มาตรฐานใหม่ของโลกในปี 2035
แน่นอนว่าในมุมกลับ มาตรฐานเหล่านี้ของจีนจะกลายเป็นประเด็นใหม่ในมิติความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราคนไทยและประชาชนอาเซียนจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ และเตรียมตัวให้พร้อมรับกับมาตรฐานใหม่ๆ เหล่านี้ หรือองค์ความรู้ใหม่ๆ อย่าง AI เหล่านี้ได้หรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร
ในฐานะผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิอาเซียน ซึ่งมีภารกิจในการติดองค์ความรู้ให้กับประชาชนอาเซียน ปี 2025-2026 พวกเราเตรียมโครงการชื่อ AI Ready ASEAN โดยการสนับสนุนของ Google ในกิจกรรม 6 ด้าน ได้แก่
- ทำวิจัยเพื่อให้ทราบถึง AI Landscape ใน 10 ประเทศอาเซียน
2. พัฒนาหลักสูตรการแนะนำให้คนอาเซียนสามารถเริ่มต้นใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องเป็นหลักสูตรที่เข้ากับบริบทของอาเซียน ซึ่งเรียนรู้มาจากการทำวิจัย
3. นำหลักสูตรที่ได้มาอบรมเพื่อสร้าง Master Trainer จำนวน 2,000+ คน
4. ให้ปัจจัยสนับสนุน เพื่อให้ Master Trainer กลับไปจัดอบรมหลักสูตร AI ในท้องถิ่นของตน เพื่อให้มีผู้เข้าอบรม 800,000+ คน
5. รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้คนอาเซียน 5.5 ล้านคน เริ่มมองเห็นประโยชน์ของการใช้ AI
6. นำเอาองค์ประกอบทั้ง 5 มาพัฒนาเป็น Learning Platform ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ตลอดไป
และนี่คือโครงการอบรมความรู้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดกันมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หวังว่าพวกเราทุกคนจะเรียนรู้ พัฒนาตนเองให้เท่าทัน และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและมาตรฐานใหม่ๆ เหล่านี้ได้
ภาพ: Kostyantyn Skuridin via Shutterstock