Deadpool ซูเปอร์ฮีโร่ที่พาโลกไปรู้จักคำจำกัดความของ ‘ฮีโร่ยุคใหม่’ เมื่อปี 2016 ผ่านฝีมือการกำกับของ ทิม มิลเลอร์ ที่สอดแทรกความเสียดสีเอาไว้ในทุกอณู และดึงเอกลักษณ์ ‘Breaking the Fourth Wall’ หรือการที่ตัวละครพูดกับคนดูจากในการ์ตูนมาอยู่บนภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาด และกลายเป็นจุดเด่นของฮีโร่สุดกวนคนนี้ไปโดยปริยาย ส่วน Deadpool 2 ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งซึ่งทำให้คนดูที่เคยชินกับหนังฮีโร่เดิมๆ ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศได้อย่างครบรสชาติ
Deadpool 2 กำกับภาพยนตร์โดย เดวิด เลตช์ เจ้าของผลงานอย่าง V for Vendetta (2005), John Wick (2014) และ Atomic Blonde (2017) ส่วน ไรอัน เรย์โนลด์ส ที่รับบทเป็น เวด วิลสัน ฮีโร่ตัวเอกที่ทำให้เดดพูลเป็นเดดพูลได้อย่างสมบูรณ์ ในภาคนี้ยังมีตัวร้ายที่เผลอตกหลุมรักอย่าง จอช โบรลิน ที่รับบทเป็น เคเบิล ไปจนถึงตัวละครร่วมทีม X-force อย่าง โดมิโน (รับบทโดย ซาซี บีตซ์), ไซท์ไกสท์ (รับบทโดย บิล สการ์สการ์ด), วีเซล (รับบทโดย ที. เจ. มิลเลอร์) และเบดแลม ที่ได้ เทอร์รี ครูวส์ มาแสดงด้วย อีกหนึ่งนักแสดงที่อยากชื่นชมและเป็นตัวชูรสในเรื่องคือ คารัน โซนี ที่รับบทเป็น โดพินเดอร์ คนขับรถแท็กซี่จากภาคแรกที่ใฝ่ฝันอยากเข้ามาเป็นฮีโร่แบบเดดพูล
Photo: www.libertaddigital.com
ในภาคนี้ Deadpool ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากจะคงเส้นคงวาเรื่องความกวนประสาทและมุกที่เสียดสีค่ายอื่นแล้ว (หรือแม้กระทั่งค่ายตัวเอง) เขาก็กลับมาพร้อมมุมซึ้งๆ และซีนที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงน้ำตาซึมได้ แต่ที่สังเกตได้ชัดที่สุดคือ Deadpool 2 ดูจะเป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่สร้างมาเพื่อผู้ชมยุคนี้มากที่สุด รู้จักคนดูเป็นอย่างดี และทำให้มุกตลกและเนื้อหาที่ใช้ในภาพยนตร์ทำงานกับคนดูทุกรูปแบบจนทำให้ Deadpool 2 อาจจะเป็นตัวอย่างภาพยนตร์ฮีโร่แห่งยุคได้อย่างแท้จริง
ความสัมพันธ์หญิง-หญิงในหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรก
หลังจากออกสื่อไว้ว่า Deadpool 2 จะมีการพูดถึงตัวละคร LGBTQ ในภาพยนตร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ทำให้แฟนๆ ตั้งหน้าตั้งตารอและคิดว่าอาจะเป็นคาแรกเตอร์ของ แชตเตอร์สตาร์ มิวแทนต์ที่เคยจูบกับเพื่อนร่วมทีมผู้ชายอีกคนที่ใช้ชื่อว่า ริกเตอร์ เมื่อปี 2009 แต่แท้จริงแล้วบท LGBTQ กลับตกเป็นของสาว เนกาโซนิก ทีนเอจ วอร์เฮด รับบทโดย ไบรอันนา ฮิลเดอแบรนด์ และแฟนสาว ยูกิโอะ รับบทโดย ชิโอริ คัตสึนะ นักแสดงลูกครึ่งญี่ปุ่น-ออสเตรเลียที่มาร่วมเล่นในภาคนี้ด้วย แม้จะโผล่มาไม่เยอะ แต่ทั้งคู่ก็แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นแฟนกัน ซึ่งถือว่าเป็นก้าวใหญ่ในวงการฮีโร่ที่มักมีตัวละครชายเป็นหลัก
Photo: www.gaytimes.co.uk
เชื้อชาติเป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับแฟนคลับ Deadpool ที่ตามอ่านมาตั้งแต่ฉบับการ์ตูนคงจะเห็นว่าตัวละครหลักในภาคนี้อย่าง ‘โดมิโน’ หญิงสาวที่มีพลังพิเศษคือความ ‘ดวงดี’ จะเป็นการ์ตูนผู้หญิงผิวขาวหน้าเก๋ แต่พอมาเป็นเวอร์ชันภาพยนตร์ เดวิดเลือกที่จะให้โดมิโนรับบทโดยนักแสดงหญิงผิวสีอย่าง ซาซี บีตซ์ แทน สำหรับคนยุคนี้แล้วถือเป็นการตัดสินใจที่ดีและฉลาด แต่ก็ยังมีแฟนการ์ตูนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและออกมาต่อต้าน โดยอ้างว่าตัวเองไม่ได้เหยียดผิว แค่เพียงไม่ชอบที่ผมของโดมิโนเปลี่ยนจากผมซอยสั้นกลายเป็นทรงแอโฟรแทน
Photo: www.digitalspy.com
นอกจากนี้ยังมีมุกตลกที่แฝงถึงอุดมการณ์คนยุคใหม่อย่างเทรนด์ความเท่าเทียมทางเพศและมุกตลกที่สะท้อนไลฟ์สไตล์แบบคนยุคนี้อยู่ตลอดเรื่อง จนทำให้เรารู้สึกว่ามุกตลกของ Deadpool ได้ข้ามผ่านการเสียดสีการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ไปถึงเลเวลการเสียดสีเชิงสังคมด้วย บอกเลยว่าถ้ายิ่งเข้าใจเรเฟอเรนซ์ในเรื่องมากเท่าไร หนังเรื่องนี้ก็ยิ่งมีซีนตลกมากขึ้นเท่านั้น
แม้ในช่วงแรกของหนังที่เกริ่นเรื่องราวก่อนฉากสำคัญจะแอบเนือยไปสักนิด แต่สุดท้าย Deadpool 2 ก็กลับมาทำให้คนดูเอ็นจอยจนหัวเราะพร้อมกันทั้งโรง และยังตบท้ายด้วยการตามหาความหมายของครอบครัวแบบซึ้งๆ ที่ เวด วิลสัน ต้องการ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่ Deadpool 2 เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ซึ่งคนดูไม่มีทางคาดเดาได้ รวมไปถึงเครดิตตอนจบที่ต้องบอกเลยว่าอย่าลุกออกจากโรงทันทีที่จบ เพราะ Deadpool 2 เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวที่จะทำให้การมาดูหนังซูเปอร์ฮีโร่สุดกวนเรื่องนี้คุ้มค่ายิ่งขึ้นไปอีก
- เอโย และอะเนกา จาก Black Panther ก็เคยมีการระบุว่านักรบสาวแห่งเมืองวากานดาทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน แต่ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวที่ตัวแทนจากมาร์เวลออกมาแจ้งว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจให้มีความสัมพันธ์หญิง-หญิงในเรื่อง แต่เมื่อสื่อ ScreenCrush ไปถามคนเขียนบท โจ โรเบิร์ต โคล กลับได้คำตอบว่าเขาก็มีแผนให้มีซีน LGBTQ อยู่ในหนังเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ Black Panther ความสัมพันธ์แบบ LGBTQ ก็ถือว่ายังอยู่ระหว่างการโต้เถียงอยู่
