จากวันที่เด็กหญิงนิว-นภัสสร ภูธรใจ และเด็กหญิงจิ๋ว-ปิยนุช เสือจงพรู ยังรู้จักกันในฐานะคู่แข่งตามเวทีประกวดร้องเพลง จนมายืนร้องเพลงคู่กันในร้านเล็กๆ ที่ชื่อ The Cottage จังหวัดเชียงใหม่ ชวนกันไปแข่งขันในรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปีที่ 1 พยายามไขว่คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา เฝ้ารอการได้มีผลงานของตัวเองด้วยความอดทนอยู่พักใหญ่ จนถึงขนาดที่พวกเธอยังเคยสงสัยด้วยซ้ำว่า ‘เรายังจำเป็นต้องมีกันอยู่หรือเปล่า’ แต่เมื่อฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ พวกเธอก็กลายเป็นศิลปินดูโอหญิงอันดับหนึ่งของประเทศไทยแบบไร้ข้อกังขา
การรันตีด้วย 4 สตูดิโออัลบั้มที่มีเพลงฮิตอย่าง คนเจ้าน้ำตา, อย่าเอาความเหงามาลงที่ฉัน, ไม่รัก…ไม่ต้อง, ถ้าไม่ฟังจะถามทำไม ฯลฯ ที่ทุกคนร้องตามกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นศิลปินรับเชิญเจ้าประจำที่มักจะมีคนเรียกไปทำเซอร์ไพรส์อยู่เสมอ และที่สำคัญ ยังมีโอกาสถึง 2 ครั้งที่พวกเธอได้มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเอง
และในวันที่เดินทางไปไกลจนแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้านึกถึง พวกเธอพร้อมแล้วกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 3 NJ’s Story Concert the Original ที่จะพาทุกคนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นแท้ๆ แบบออริจินัลฉบับนิว-จิ๋ว วันนี้เราเลยชวนสองสาวมาพูดคุยระลึกความหลังถึงความออริจินัลที่มีแค่เฉพาะพวกเธอเท่านั้นที่จะเข้าใจ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนไปรับชมต้นตำรับของนิว-จิ๋วแบบเต็มๆ อีกครั้งในคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเธอครั้งนี้
ทำไมคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 3 ถึงต้องจัดขึ้นในช่วงเวลานี้
นิว: รู้สึกว่าเป็นช่วงจังหวะที่กำลังดี ปกติคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเราจะห่างกันประมาณ 2-3 ปีอยู่แล้ว คือถ้าไม่ได้จัด ‘มีตแอนด์กรี๊ด’ กับแฟนเพลง ก็จะมีคอนเสิร์ตใหญ่นี่ล่ะที่ทำให้พวกเราได้ใกล้ชิดกันมากที่สุด ในเมื่อไม่มีโอกาสได้เจอกันบ่อย ฉะนั้นเวลาได้เจอกัน เราก็จะพยายามทำให้เต็มที่ที่สุด อยากให้แฟนเพลงทุกคนได้รับบรรยากาศที่อบอุ่นและความสนุกกลับไปอย่างเต็มที่
จิ๋ว: ยิ่งครั้งนี้ที่เราใช้คอนเซปต์ ‘ออริจินัล’ ก็น่าจะให้ความรู้สึกอบอุ่นได้มากขึ้นไปอีก เราจะเลือกหยิบเพลงอัลบั้มเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้เอาไปร้องที่ไหน แล้วนำกลับมาร้องกันแบบเต็มที่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้
แฟนเพลงเก่าๆ ก็จะได้ฟังเพลงที่พวกเขาคิดถึง ส่วนแฟนเพลงใหม่ๆ ก็จะได้ฟังเพลงที่พวกเขาอาจจะไม่เคยฟัง นอกจากนั้นยังมีเพลงจากอัลบั้มใหม่ที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ ซึ่งจะได้ฟังในคอนเสิร์ตนี้เป็นครั้งแรกด้วย
นิว: แล้วมีบางคนส่งข้อความมาในเฟซบุ๊กว่าอยากฟังเพลงนี้ๆๆ จังเลย เราก็จะเอาเพลงพวกนั้นมาร้อง ทำให้เป็นคอนเสิร์ตที่ทุกคนได้ช่วยกันเลือกเพลงไปกับพวกเราด้วย
ออริจินัลของจิ๋วนี่ชัดเจนมาก ถ้าเรื่องการร้องเพลงก็คือตัวเล็ก เสียงดี มีพลัง ถ้านิสัยส่วนตัวพูดสั้นๆ ก็คือเนี้ยบ เฉียบขาด
พูดถึงความ ‘ออริจินัล’ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามว่า ในวันนี้คุณสองคนคิดว่าอะไรคือความเป็น ‘ออริจินัล’ ของ ‘นิว-จิ๋ว’ ที่หาจากใครไม่ได้อีกแล้ว
นิว: ออริจินัลของจิ๋วนี่ชัดเจนมาก ถ้าเรื่องการร้องเพลงก็คือตัวเล็ก เสียงดี มีพลัง ถ้านิสัยส่วนตัวพูดสั้นๆ ก็คือเนี้ยบ เฉียบขาด นอกจากเพื่อนแล้วก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งสมองให้นิวที่คอยช่วยจำคิวงาน ช่วยดูแลเรื่องเงิน และอีกหลายๆ เรื่องที่นิวไม่ค่อยสนใจเท่าไร จริงๆ มันเป็นเรื่องที่เราต้องทำเองนะ แต่ก็กลายเป็นหน้าที่ของจิ๋วไปแล้ว (หัวเราะ)
จิ๋ว: ถ้าเรื่องการร้องเพลง นิวจะเป็นคนที่มีหลายโหมด สามารถร้องเพลงได้หลากหลาย ทั้งดรามาติก หรือจะไปในโทนสดใส สนุกๆ และนิวสามารถเอาทุกอย่างมาผสมๆ กันได้ดี
แต่ถ้าเรื่องนิสัยนี่จะตรงข้ามกับจิ๋วทุกอย่างเลย คือถ้าจิ๋วเป็นคนเนี้ยบ นิวก็จะเป็นคนสบายๆ สายเสพงานอาร์ต มีความครีเอทีฟ ไม่ชอบยุ่งกับเรื่องตัวเลข ซึ่งเป็นเรื่องดีนะที่เรามีเพื่อนนิสัยไม่เหมือนกัน แต่เข้ากันได้ เพราะว่าเราสามารถดึงส่วนที่ดีของเพื่อนมาเติมในสิ่งที่ตัวเราขาดอยู่ได้
มีช่วงไหนบ้างไหมที่รู้สึกไม่โอเคกับความเนี้ยบหรือความสบายของอีกคน
จิ๋ว: มีแค่ช่วงแรกๆ ที่ต้องค่อยๆ เรียนรู้ สังเกต ทำความเข้าใจนิสัยของอีกคน แน่นอนว่าคนเราไม่มีใครเหมือนกันทุกอย่างอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะวางตัวกันแบบไหน มีสเปซตรงไหนที่เข้าไปได้ และตรงไหนที่ควรเว้นเอาไว้ นอกจากนั้นก็มีอีกหลายเรื่องที่ถ้าไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก งั้นเราควรวางเอาไว้แล้วยอมรับซึ่งกันและกัน
ความจริงมันก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าจะเริ่มเข้าใจกันได้ แต่พอถึงจุดที่คลิกกันแล้วมันก็จะคลิกเลย ถ้าให้นึกดู นี่น่าจะมากกว่า 5 ปีแล้วนะคะที่เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกันเลย
นิว: เราสองคนจะมีบางช่วงที่คนหนึ่งอาจจะตึงเกินไป อีกคนก็หย่อนเกินไป หรือไม่ก็ด้วยความรักเพื่อนมาก เลยแสดงออกกันสุดฤทธิ์ บางทีถึงขั้นก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว ไปห้ามโน่น ห้ามนี่ อย่าไปคบกับคนนั้นคนนี้นะ
ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปยังตลกอยู่เลยว่าทำแบบนั้นไปทำไม เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ผิดใจกัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ มันไม่มีอะไรดีเลย นอกจากเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ เพราะต่อให้โกรธกันแทบตาย แต่ถ้าสุดท้ายคำตอบคือเราต้องกลับมาดีกันอยู่ดี ก็สู้ทอนเวลาให้สั้นลง คิดใหม่ คุยกันใหม่ให้เข้าใจไปเลยดีกว่า เพราะมันเหนื่อยนะที่ต้องแบกความรู้สึกที่ไม่โอเค แบกบรรยากาศตึงๆ หลายอย่างเอาไว้
จิ๋ว: สุดท้ายเราต้องยอมรับว่าชีวิตเป็นของเขา อย่าไปกะเกณฑ์อะไรให้มันมากมาย เรื่องที่เราคิดว่าถูก บางทีมันอาจไม่ใช่แบบนั้น อย่าไปฟิกซ์ อย่าไปคาดหวังให้ทุกอย่างค่อยๆ เรียนรู้กันไปเองดีกว่า
ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน คิดว่าอะไรคือสิ่งที่เพื่อนของเราเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด
นิว: ในช่วงแรกๆ ที่เราเริ่มต้นร่วมกันเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จิ๋วจะเป็นคนนิ่ง มีออร่า มีรังสีที่เข้าถึงยาก มีความน่ากลัวเบาๆ แผ่ออกมา (หัวเราะ) เขาเป็นคนเก่ง ทุกคนยอมหมด แต่ก็รู้สึกว่าคนนี้อ่านยากจังเลย อยู่ด้วยกันก็จะเกรงใจ ไม่กล้าพูด ทุกอย่างมันยากไปหมด แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมากจนเราแทบจะลืมพาร์ตนั้นไปแล้ว เขาเป็นคนแสดงให้นิวเห็นเลยนะว่าคนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนรอบข้าง เพื่อคนที่เขารักได้จริงๆ
จิ๋ว: เมื่อก่อนนิวเป็นคนที่ไม่คิดอะไรเยอะ สบายๆ อยากทำอะไรก็ลุยเลย แต่จิ๋วจะเป็นพวกที่กว่าจะตัดสินใจทำอะไรต้องคิดเยอะมาก พออยู่ด้วยกันนานๆ ก็จะเห็นชัดเลยว่านิวโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ยังสนุก ยังลุยอยู่ แต่คิดมากขึ้นว่าเราควรจะลุยมันเพราะอะไร และจะลุยกับมันแบบไหน ละเอียดกับทุกสิ่งที่จะต้องออกไปทำมากขึ้นเยอะ
ตอนนั้นทะเลาะกันด้วยเรื่องจุกจิกตามประสาผู้หญิงจนถอดใจ คิดว่าจะจบทางเดินของ ‘นิว-จิ๋ว’ แล้ว แต่สิ่งที่มันจริงที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ต่อความเป็นเพื่อน
ตั้งแต่ร่วมงานกันมา ‘เพื่อน’ มีส่วนช่วยผลักดันตัวเราเองได้มากขนาดไหน
นิว: มาก (เน้นเสียง) เราดูแลกันในทุกเรื่องๆ เหมือนเราใช้ชีวิตด้วยกันสองคนแบบเป็นครอบครัว จิ๋วก็จะคอยถามตลอดว่าแกะเพลงหรือยัง ทำการบ้านด้วยนะ ถ้าไม่ได้จิ๋วคอยเตือนนิว นิวคงจะคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยไปฟังก่อนเข้าห้องอัดก็ได้ (หัวเราะ) แล้วจิ๋วเป็นสายเสิร์ชหาอะไรใหม่ๆ เจออะไรก็ส่งมาให้ ดูโชว์นี้สิ ดีมากเลย คนนี้ร้องเพลงเพราะนะ พอเห็นเขาตั้งใจมากๆ เราก็อยากตั้งใจไปกับเขาด้วย
จิ๋ว: จิ๋วคิดว่าเราเป็นกระจกของกันและกัน บางครั้งเวลาหยิบงานใหม่ที่ไม่ถนัด แต่เราก็อยากลองทำดู แล้วเรารู้สึกสนุกที่ได้ทำพร้อมๆ กันทั้งสองคน บางอย่างก็ยังทำได้ไม่ดีหรอก แต่ก็สนุก อย่างน้อยก็ดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม ถ้าจะมีส่วนที่ push ขึ้นมาก็คงเป็นเวลาทั้งหมดที่เราได้ทำอะไรด้วยกันนี่แหละ
นิว: สิ่งที่นิวมองเห็นว่าจิ๋วเขาผลักดันตัวเองขึ้นมาเยอะ คือปกติเขาเป็นสายร้องอย่างเดียว ไม่ค่อยเต้น เขาไม่ถนัดเรื่องมูฟเมนต์ แต่พอมีโจทย์ให้ต้องเต้น เขาก็จะพยายามเยอะมาก บางทีพยายามจนเครียด เพราะเขากลัวว่าจะทำให้งานทุกอย่างช้า นิวจะเห็นความพยายามตรงนั้นตลอด แล้วสุดท้ายเขาก็ทำได้ เพราะตั้งใจมากๆ จริงๆ
เวลาเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เพื่อนมีส่วนช่วยให้ผ่านเรื่องราวครั้งนั้นได้มากขนาดไหน
นิว: ระหว่างเรามันเคยมีช่วงที่คิดว่า หรือว่าเราไม่จำเป็นต้องมีกันแล้วก็ได้ ฉันอาจจะไม่ใช่เพื่อนของเธอ และเราอาจจะไม่มีอัลบั้มต่อไป ตอนนั้นทะเลาะกันด้วยเรื่องจุกจิกตามประสาผู้หญิงจนถอดใจ คิดว่าจะจบทางเดินของ ‘นิว-จิ๋ว’ แล้ว แต่สิ่งที่มันจริงที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ต่อความเป็นเพื่อน ถ้าไม่รักกันจริงๆ เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก จนสุดท้ายมันก็มีทางให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนผิดหรือถูก แต่พอได้กลับมาคุยกัน เราไม่คิดว่าจะกลับมาเพราะอยากทำอัลบั้มด้วยนะ เราแค่อยากกลับมาหาเพื่อน แค่นั้นเลย
จิ๋ว: สำหรับจิ๋ว มันเป็นช่วงการรอคอยทำอัลบั้ม ตอนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพยายามทำอยู่มันเวิร์กหรือเปล่า แล้วเราจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี ซึ่งโมเมนต์ตอนนั้นมันใช้เวลานาน และต้องใช้ความอดทนที่สูงมาก แต่เพราะเราโชคดีที่มีเพื่อนยืนอยู่ข้างๆ การที่เรารู้ว่ามีอีกคนหนึ่งที่พร้อมจะเดินไปกับเราด้วย มันดีกว่ายืนรอคนเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้คำตอบของคำถามที่ว่า ‘หรือว่าเราไม่จำเป็นต้องมีกันแล้วก็ได้’ ชัดเจนขึ้นขนาดไหนแล้ว
นิว: ชัดเจน เพราะอยู่ด้วยกันแล้วเราผลักดันไปในทางที่ดี ตอนนั้นมันแค่อารมณ์ชั่ววูบ ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราต้องยอมรับและปรับความเข้าใจกันได้สิ ชีวิตก็เหมือนนาฬิกาที่เราต้องคอยไขลานให้มันไปต่อ มันอาจจะมีช่วงที่เฟืองขัดๆ ฝืดๆ นิดหน่อย แต่ตราบใดที่นาฬิกายังไม่ตาย มันก็ต้องหมุนต่อไป แล้วเราดีใจที่มีคนช่วยหมุนไปกับเราด้วย
ตอนนี้สามารถขึ้นไปร้องเพลงโดยเป็น ‘นิว’ หรือ ‘จิ๋ว’ แค่คนเดียวได้ไหม
นิว: ได้นะคะ เพราะจิ๋วก็คือจิ๋ว นิวก็คือนิว มันไม่มีใครแทนกันได้ เพียงแต่ตอนนี้เราชอบและยังมีความสุขที่อยู่ด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกันในฐานะ ‘นิว-จิ๋ว’ แต่ถ้ามองไปถึงอนาคตไกลๆ คนเรามาเจอกันก็ต้องมีจากกันอยู่แล้ว มันต้องทำใจเบาๆ กับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น พอถึงวันที่ต้องอยู่ลำพัง เราก็ต้องอยู่ได้
จิ๋ว: แต่ถึงยังไงเราก็จะเป็นเพื่อนกัน ยังช่วยกันเหมือนเดิม อะไรที่เราผลักดันกันได้ เราก็จะทำต่อไปเหมือนเดิมแน่นอน
อะไรคือความสุขแบบออริจินัลตั้งแต่วันแรกที่รวมตัวกันในชื่อนิว-จิ๋วจนมาถึงทุกวันนี้
จิ๋ว: สำหรับจิ๋วคือการร้องเพลงอย่างเดียวเลยนะ อาจจะต่างตรงที่ตอนเด็กๆ เราร้องเพลงจากความฝัน ไม่มีความกดดัน ไม่มีความคาดหวังอะไรเลย แต่ทุกวันนี้กลายเป็นนิว-จิ๋ว เรากลายเป็นศิลปิน เป็นคนทำงานศิลปะ มีผลงาน มีคนคาดหวัง มีคนติดตาม แต่เราก็ยังร้องเพลงอย่างมีความสุขเหมือนเดิม แถมยังมีความสุขมากขึ้นด้วย เพราะมีเพื่อนอีกคนที่ยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆ กัน
นิว: นึกถึงวันที่ชวนเขามาร้องเพลงคู่กันวันแรกที่ร้าน The Cottage ตอนนั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่าฉันต้องเป็นนักร้องดังระดับประเทศ คิดแค่เราอยากชวนเพื่อนคนหนึ่งมาร้องเพลงด้วยกัน ออริจินัลของเรามันคือตรงนั้น นั่นคือความสุขแบบที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย ไม่ต้องจัดวางอะไรเลย
จิ๋ว: ความรู้สึกตอนนั้นดีมากเลยนะ คนที่เชียงใหม่จะเรียกพวกเราว่ารัก-ยม เขาก็คงเห็นอะไรบางอย่างที่แยกจากกันไม่ได้ในตัวพวกเรา แล้วก็คงเป็นตรงนั้นแหละที่ทำให้พวกเราเดินทางมาจนถึงตรงนี้ได้
นิว: ถ้าคิดถึงตอนนั้นนะ สนุกมาก แต่งตัวอะไรกันก็ไม่รู้ เสื้อสีๆ เข็มขัด 3 เส้น สร้อยคอ หมวก ต่างหู เยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะช่วงเทศกาลลอยกระทงหรือสงกรานต์ที่ต้องชวนกันไปซื้อเสื้อผ้า แต่งตัวสวยๆ ไปร้องเพลง ไปสร้างความสนุกให้กับทุกคน ย้อนไปคิดถึงวันนั้น พวกเราก็เยอะเหมือนกันนะ จนทุกวันนี้ก็ยังเยอะอยู่ (หัวเราะ)
จิ๋ว: ภาพลักษณ์อาจจะชัดเจนขึ้น แต่ความสนุกยังคงมีอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะในคอนเสิร์ตครั้งนี้แหละ ที่พวกเราจะดึงความรู้สึกเก่าๆ แบบนั้น แบบออริจินัลดั้งเดิมกลับมาให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกันเหมือนเดิม
- คอนเสิร์ต NJ’s Story Concert the Original จัดแสดงในวันที่ 19 สิงหาคม 2560 ที่ GMM Live House เซ็นทรัล เวิลด์ ขายบัตรที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสออลทิกเก็ต ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา
- มีแขกรับเชิญพิเศษคือวง The Parkinson ซึ่งถือว่าเป็นมวยถูกคู่มาก เพราะดนตรีโซลๆ และเสียงสั่นๆ ของพวกเขาน่าจะจับคู่เคมีกับเสียงของนิว-จิ๋วได้เป็นอย่างดี
- เพลง I Will Survive คือเพลงแรกที่นิวและจิ๋วใช้ขึ้นไปร้องด้วยกันที่ร้าน The Cottage
- เพลงที่นิวประทับใจมากที่สุดคือเพลง คนเจ้าน้ำตา เพราะตอนอัดเสียง นิวร้องเพลงนี้คนเดียว แต่ทั้งสองคนมาคิดไลน์ประสานเพื่อเอาไว้โชว์ในคอนเสิร์ตด้วยกัน และกลายเป็นว่าทุกคนก็จดจำว่าเพลงนี้เป็นเสียงร้องของทั้งสองคนไปโดยปริยาย ซึ่งสำหรับพวกเธอแล้ว ความรู้สึกของการได้ร้องเพลงด้วยกันจนคนจำได้แบบนี้แหละ คือความหมายที่แท้จริงของการเป็นศิลปินดูโอ