×

ดนตรีและตัวตนบนความอ่อนไหวของ ‘น้อย วงพรู’

15.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • หลังจากกลับมารับงานโชว์ได้พักใหญ่ เช็กลิสต์เพลงของเขาในตอนนี้น่าสนใจมาก เพราะถ้าใครติดตามโชว์ของ ‘น้อย วงพรู’ ในช่วงนี้ คุณจะได้ฟังเพลงในอัลบั้มโซโล่ของเขาก่อนใครถึงสองเพลงคือ Atta และ Empty ซึ่งบอกเลยว่าเยี่ยมมาก!
  • ตลอดชีวิตศิลปินเพลง น้อยเคยต้องรักษาอาการบาดเจ็บจากขามาแล้วสองครั้ง และทุกครั้งมันมักจะเกิดขึ้นในจังหวะสำคัญเสมอ ครั้งแรกเกิดขึ้นโชว์หนึ่งก่อนคอนเสิร์ต Pru & Modern Dog – ทุกสิ่ง (For Fat Live Pru & Modern Dog) ซึ่งเขาโลดโผนกับโชว์จนตกเวที อีกครั้งคือช่วงก่อนอัลบั้มชุดที่สอง (Zero) น้อยไปเล่นกีฬาแล้วหัวเข่าหักจนต้องใส่เฝือกโปรโมตอัลบั้มนั้นในช่วงแรก
  • ตอนนี้น้อยกำลังอยู่ในช่วงรักษาอาการเส้นประสาทที่ขาอักเสบ ซึ่งต้องฟื้นฟูและบำบัดโดยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าที่เรียกว่า Electrical Stimulation ล่าสุดถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะหายจากอาการนี้ภายใน 4 เดือน

     หลังเกิด ‘แผ่นดินไหว’ มักจะตามมาด้วย ‘อาฟเตอร์ช็อก’ โชว์ของ ‘น้อย วงพรู’ ก็ให้ความรู้สึกอะไรในแบบนั้น บนเวทีเราเห็นเขาใส่พลังไปสุดเหวี่ยงสุดตัว เพลงเร็วเต็มไปด้วยลีลา พอถึงเพลงช้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์ แต่โชว์จบเหมือนไม่จบ เพราะเมื่อก้าวลงจากเวที ดูเหมือนแรงสั่นสะเทือนในใจเขาจะยังอยู่  

     น้อยบอกเองว่า ‘บนเวที’ ที่ดูเหมือนกำลังสื่อสารกับผู้คน แต่หลายต่อหลายครั้งกลับเป็นเขาเองที่กำลังต่อสู้กับ ‘ด้านใน’ ของตัวเอง แพ้บ้าง ชนะบ้าง ซึ่งก็สาสมใจ คุ้มค่าดีแล้วในฐานะศิลปินเพลง

     ‘ไม่ใช่ว่าเพิ่งเป็น’ แต่เขาเป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยกระโดดโลดเต้นในฐานะ ‘ฟรอนต์แมน’ ของวงพรูเมื่อเกือบสิบปีก่อน จนถึงวันนี้ในวัยที่เพิ่มมากขึ้น ในวันคืนที่เริ่มกลับมาบ่มตัวเองอีกครั้งสำหรับอัลบั้มเดี่ยวในอนาคต เขาก็ยังคงต้องต่อสู้กับตัวเองไม่เคยเปลี่ยน

     ‘คืนนี้ก็เช่นกัน’ ท่ามกลางแสงไฟสาดไปมา เสียงคนผู้ดังจอแจจนแทบจะกลบเสียงดนตรี

     สำหรับ THE STANDARD มันเป็นคืนสำคัญ เพราะระหว่างทางทั้งก่อนและหลังจากการแสดงสดของหนึ่งในศิลปินเพลงที่โดดเด่นที่สุดของยุค 90s จบลง ‘น้อย วงพรู’ จะยังนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะพาไปทำความเข้าใจกับบางแง่บางมุมในใจที่ ‘ซ่อมยังไงก็ไม่เสร็จ’ เสียที เช่นเดียวกับอีกไม่กี่วันถัดมาในช่วงบ่ายวันกายภาพบำบัดแข้งขาที่โรงพยาบาล เราก็ได้เห็นสังขารและ ‘ตัวตน’ อีกหนึ่งด้านของเพอร์ฟอร์เมอร์ในตำนานตอนช่วงวัย 46 ที่กำลังต่อสู้กับอีกบททดสอบของร่างกายอยู่เช่นกัน

 

     ย้อนอ่านตอนแรก – สัญญาณแรกของ ‘น้อย วงพรู’ การเตรียมตัวก่อนกลับสู่เส้นทาง ‘ดนตรี’

 

1.

Before

     “ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือในวันนี้ที่กำลังเตรียมตัวสำหรับอัลบั้มใหม่ น้อยก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วว่ะ ทุกอย่างที่โชว์ น้อยก็ยังอยากทำให้ออกมาดีที่สุด อยากให้คนยอมรับเรา” น้อยและนักดนตรีร่วมวงน่าจะมาถึงที่ร้านก่อนผมหลายชั่วโมง ผมเดินตามมานั่งคุยกับน้อย หลังจากเราเจอกันโดยบังเอิญในห้องน้ำชาย เจ้าของโรงแรม The Siam ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายิ้มบอกแข่งกับเสียงผู้คนและดนตรีว่ายังพอมีเวลาก่อนจะขึ้นโชว์ เริ่มต้นคุยกันไปสักพัก เขาเตือนว่าอาจจะต้องเรียบเรียงคำพูดให้ดีหน่อย เพราะก่อนคุยกัน น้อยดื่มเบียร์ไปหลายแก้วแล้ว

 

 

     “ตื่นเต้นไหม” – ผมถาม

     “ไม่หรอกฮะ เพราะไม่ว่าจะสมัยเล่นกับวงพรูหรือเล่นกับใคร น้อยก็ตื่นเต้นเสมอไม่เคยเปลี่ยน เพราะไม่รู้ว่าแต่ละโชว์จะออกมาเป็นยังไง บางทีคนอาจจะมาไม่เยอะมากก็ได้

     “เวลาเรากลับมาเล่นใหม่ เราก็ต้องทำตัวเหมือนเป็นศิลปินที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วก็ทำโชว์นั้นๆ ให้ออกมาดีที่สุด เต็มที่ที่สุด น้อยพยายามจะคิดแบบนั้นนะฮะ

 

     “คือบางทีน้อยก็ยังเศร้า กลัวบางคนจะหมั่นไส้ว่าน้อยเต็มที่แบบโอเวอร์เกินไปหรือเปล่า แม้แต่ตอนนี้ที่น้อยอายุมากแล้วก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่นะฮะ ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กเลย

     “ย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มต้นกับวงพรู ในตอนนั้นน้อยเป็นคนคิดมาก คิดมากแบบทุเรศเลยครับ สมัยนั้นทุกทีที่เล่นคอนเสิร์ต น้อยจะกลับบ้านไปเศร้าเสมอ เศร้าจริงๆ นะฮะ ไปถามใครในวงดูก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์ – กีตาร์), ยอด (ยอดเถา ยอดยิ่ง – เบส) หรือคณิน (คณินญาน จันทรสมา – กลอง) ว่าน้อยเศร้าบ่อยมากจนสุกี้ต้องบอกว่า เฮ้ย ยูไม่ต้องเป็นนักร้องดีกว่าไหม เพราะยูดูเศร้าเสมอเลยเวลาเล่นคอนเสิร์ต (หัวเราะ) แต่ ณ ตอนนี้พออายุมากขึ้น น้อยก็เข้าใจมากขึ้นนะฮะ เต็มที่เล่นไป 4-5 โชว์ อาจจะมีสักครั้งหรือสองครั้งที่กลับมาเศร้า

     “จำได้ว่าเมื่อ 5 เดือนที่แล้วมีโชว์ที่น้อยเล่นแล้วแบบ… ร้องไห้เลยฮะ เพราะน้อยทำมันออกมาได้ไม่ดี น้อยเริ่มคิดมากเกินไป ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาจากคนดู แต่มันเป็นปัญหาส่วนตัวของเราเอง จากนั้นน้อยก็เริ่มร้องไห้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นโชว์ที่ไม่เวิร์ก  

     “น้อยพยายามจะไม่เป็นศิลปินที่เวอร์ แต่มันก็มาของมันเอง

     “แต่ 5-6 โชว์หลังมานี้ น้อยรู้สึกว่าตัวเองปรับตัวได้มากขึ้น ปัจจุบันนี้ก็เศร้าน้อยลงมาก พออายุมากขึ้น น้อยก็เริ่มคอนโทรลมันได้มากขึ้น ถึงจะไม่มีทางคอนโทรลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ดีฮะ ดีที่น้อยสามารถพัฒนาจิตใจตัวเอง”

 

 

คุณเศร้าอะไร เศร้าที่โชว์ออกมาไม่เฟอร์เฟกต์อย่างที่ตั้งใจเหรอ

     “มันเศร้าว่าแบบ… (คิด) มันตอบยากนะฮะ มันเป็นปัญหาส่วนตัวของน้อยเอง เช่น คนดูเขาอยากให้เราร้องออกมาให้เต็มที่และเอ็นเตอร์เทน คือเราอยากทำให้เขาแฮปปี้ แต่ถ้าวันนั้นน้อยเกิดคิดมากเกินไป น้อยก็จะเพอร์ฟอร์มไม่ได้ เราจะรู้สึกเลยว่ามันไม่เป็นธรรมชาติแล้ว หรือโชว์มันไม่โฟลวแล้ว

     “ความจริงคนดูเขาอาจจะไม่รู้สึกนะฮะ แต่เพื่อนในวงจะรู้สึกและเห็นเลยว่าโชว์นี้พัง

     “มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ซึ่งน้อยก็ไม่แน่ใจ อย่างโชว์ในคืนนี้มันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นนะฮะ (หัวเราะ) น้อยยอมรับว่ามันมีแง่ลบเยอะที่เรา emotional แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องพยายามมองมันในแง่บวก”

 

 

เข้าใจถูกไหมว่าพลังที่น้อย วงพรู โชว์บนเวที ทั้งที่เห็นคุณร้อง คุณเต้น คุณกระโดด พลังเพอร์ฟอร์มเหล่านี้มันออกมาจากพลังลบบางอย่างที่อยู่ข้างใน

     “พลังลบรึเปล่าเหรอ…” เขาคิดนาน “พูดจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่น้อยหรอก”  

     “น้อยว่าศิลปินทุกคนมันเริ่มต้นมาจากสิ่งที่เป็นเรื่องลบจากข้างในตัวเรานะฮะ ไม่ว่าเขาจะเกิดมาจากครอบครัวที่จนหรือรวย ศิลปินทุกคนล้วนมีปมด้อย มีสิ่งที่เขารู้สึกไม่แน่นอนกับชีวิต หรือมีมุมลบในตัวเอง แต่เขาสามารถซ่อมตรงนั้นได้ หรือปลดปล่อยมันออกมาได้ผ่านทางเสียงเพลง

     “อย่างตัวน้อยเอง น้อยก็สารภาพว่าเกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะ แต่น้อยก็มีปัญหาในจิตใจที่ซ่อมไม่ได้ แต่สามารถปลดปล่อยมันได้เวลาที่ขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีคอนเสิร์ต หรือเวทีการแสดงที่อยู่ในหนัง การร้องเพลงในคืนนี้ ในผับขนาดเล็ก หรือคอนเสิร์ตในฮอลล์ใหญ่ๆ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดีและสนุกที่สุดกับชีวิตคือความไม่แน่นอน คือโชว์ครั้งนี้มันอาจจะออกมาดีหรือแย่ก็ได้ และถ้าออกมาแย่ เราอาจจะเศร้า แต่เดี๋ยวเราก็จะลุกขึ้นแล้วกลับมาใหม่

     “หมายความว่าน้อยต้องสู้กับตัวเองแล้วกลับมาให้ได้

     “มันก็เหมือนกับนักฟุตบอลอาชีพ คือกว่าเขาจะชนะได้แชมเปี้ยนลีกเนี่ย เขาก็ต้องลงสนามไปแพ้บ้าง ชนะบ้าง พลาดบ้าง บาดเจ็บบ้าง แต่นั่นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าต้องลุกขึ้นสู้ ซึ่งสำหรับน้อยเอง สารภาพว่าถ้าน้อยไม่มีเวทีให้ได้ร้องเพลง น้อยก็คงรู้สึก lost เหมือนกันนะฮะ”

     จังหวะพูดของน้อยมักจะติดขัด ทวนซ้ำคำเดิมอยู่ตลอด ลองเดาใจดู ผมคิดว่าเขากำลังปะติดปะต่อความคิด ความรู้สึกเพื่อสื่อสารมันออกมา บอกไปแบบนี้เหมือนจะสื่อว่าเขาน่ารำคาญ แต่ความจริงเปล่าเลย ‘น้อย วงพรู’ เป็นผู้ชายประเภทที่ถึงไม่พูดอะไรด้วยเลย แต่คุณก็ยังอยากจะเข้าใกล้เขาอยู่ดีนั่นแหละ  

     คืนนั้นน้อยเริ่มต้นโชว์ด้วยเพลง รักคุณ จากอัลบั้ม Zero ของวงพรู ตามติดมาด้วยเพลง แค่, โปรด, Atta (เพลงใหม่ในอัลบั้มเดี่ยว), ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ (อพาร์ตเมนต์คุณป้า), โรมิโอ แอนด์ จูเลียต, ยังรอคอยเธอเสมอ, ทุกสิ่ง, Empty (เพลงใหม่ในอัลบั้มเดี่ยว) ปิดท้ายโชว์ในคืนนั้นด้วย Live and Learn บอกเลยว่ามันเป็นโชว์ที่ดี โดยเฉพาะดนตรีและเนื้อเพลง แค่ จากอัลบั้มแรกของวงพรู ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่เหมาะกับความคิด ความเชื่อของเขาในช่วงเวลานี้อย่างที่สุด

 

     …ตอกย้ำ กดดัน บีบคั้น หวั่นไหว

     ก็อยากจะทำอะไรให้ดี ไม่เหมือนที่เธอหวั่นไหว

 

     ก็เหมือนเดิมทุกที ไม่ว่าฉันจะทุ่มเทเท่าไร

     ไม่เห็น จะเป็น เหมือนใจ

 

     ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันนั้นจะทำต่อไป

     ขอแค่เธอยังเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ฉันนั้นจะทำต่อไป

     ไม่ว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นเช่นไร ขอแค่เธอยังอยู่ไม่ไปไหน

     ฉันนั้นจะทำต่อไป… (เพลง แค่ อัลบั้ม Pru, 2544)

 

 

2.

And after

     ไลฟ์โชว์จบแล้ว แต่สิ้นเสียงปรบมือจากแฟนเพลง ชีวิตยังไม่จบ น้อยกลับมานั่งที่โต๊ะรับรองด้านในสุดของร้านร่วมกับเพื่อนร่วมวง ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้เขาดื่มเบียร์ไปแล้วกี่แก้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่าเขายังมีสติพอจะทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นบนเวทีได้

     “มันอาจจะเป็นโชว์ที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะฮะ มันอาจจะมีช่วงที่น้อยเริ่มหลุด เริ่มเสียเซลฟ์ ซึ่งโชว์อาจจะพังได้เลย แต่ก็รู้สึกดีที่น้อยพยายามสู้และสามารถพาตัวเองกลับมาได้”

 

พาตัวเองกลับมาได้นี่หมายถึงในแง่ไหนเหรอ

     “น้อยไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นหรือเปล่านะ แต่ประมาณเพลงที่ 3-4 น้อยเริ่มมีปัญหา เหมือนน้อยเริ่มจะเสียเซลฟ์ เพราะคิดมากเกินไป น้อยเริ่มลังเล เริ่มกลัว เริ่มไม่มั่นใจ แต่พยายามจะสู้กับมัน ปลุกใจตัวเองว่าทุกคนเขาต้องการมาดูยูนะเว้ย ฉะนั้นยูต้องอย่าเห็นแก่ตัวมากเกินไป อย่าเอาแต่คิดถึงตัวเองมากเกินไป

     “ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นตอนอายุ 20 หรือตอนที่อายุ 40 น้อยก็ยังเหมือนเดิม คือยังเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ในท้ายที่สุดเราต้องโปรเฟสชันนัล และไปยืนทำหน้าที่นั้นต่อหน้าแฟนเพลงให้ดีที่สุด

     “ดนตรีมันทำให้เราไม่รู้สึกเหมือนเดิม เพราะทุกโชว์มีความต่าง มันมีอารมณ์ขึ้น-ลง และมีปัจจัยต่างๆ เต็มไปหมดที่ทำให้ทุกโชว์ออกมาไม่เหมือนกัน น้อยก็เลยได้เห็นหลายโชว์ที่ดี และอีกหลายโชว์ที่ออกมาล้มเหลว โชว์ของเราในครั้งนี้อาจจะเฟลและทำให้เศร้า แต่ในเวลาเดียวกันเราก็มีความหวัง เพราะโชว์ครั้งต่อไปมันอาจจะออกมาดีก็ได้ น้อยว่าดนตรีมันสนุกตรงนี้แหละฮะ”

 

3.

19 / 06 / 2560

16.00 น. โรงพยาบาลพญาไท 2

     ที่ชั้น 16 เขานั่งรออยู่ก่อนแล้วเหมือนเคย ช่วงนี้น้อยต้องเข้ามาที่โรงพยาบาลประมาณ 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ เพราะเขากำลังมีปัญหากับแข้งขาของตัวเอง มันอาจจะน่าหงุดหงิดอยู่บ้างเมื่อคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เริ่มต้นกลับมารับโชว์อีกครั้งของ ‘น้อย วงพรู’ ครั้นถ้ามองโลกมุมบวก อย่างน้อยการบำบัดรักษาร่างกายให้ดีเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะทำให้เขาสบายใจขึ้นเมื่อถึงเวลาที่อัลบั้มเดี่ยวของเขาจะถูกโปรโมต ถึงวันนั้นงานของเขาน่าจะเยอะ รวมถึงคอนเสิร์ตต่างๆ ก็ยิ่งต้องใช้พลังมากขึ้นกว่าโชว์ของเขาในตอนนี้ไปอีกระดับ  

 

 

วันที่คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ มากายภาพบำบัด?

     “น้อยมากายภาพบำบัดฮะ” เขาส่ายหัว ยิ้มติดเศร้านิดหน่อยที่มุมปาก  

     “น้อยรู้สึกว่าทุกครั้งเวลาจะทำอะไรที่สำคัญ ร่างกายมักจะบาดเจ็บเสมอ ครั้งแรกตอนคอนเสิร์ต Pru & Modern Dog – ทุกสิ่ง (For Fat Live Pru & Modern Dog) ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดของวงพรูที่น้อยเคยเล่นมานะครับ ถ้าไม่นับคอนเสิร์ต B.Day (B.Day Bakery Music Independent Day, 2547) ที่เล่นในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งศิลปินของเบเกอรี่ทุกคนก็มาเล่นกันหมด แต่กับที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ในตอนนั้นมันคือคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มซึ่งใหญ่มาก แล้วน้อยก็ตื่นเต้นมาก แต่ปรากฏว่าแค่อีกหนึ่งเดือนก่อนขึ้นคอนเสิร์ต น้อยพลาดไปตกเวทีตอนโชว์ น้อยก็เลยเต็มที่บนคอนเสิร์ตได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

     “ครั้งที่สองคือตอนกำลังจะปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 น้อยไปเล่นกีฬาแล้วหัวเข่าหักจนต้องใส่เฝือก ตอนโปรโมตอัลบั้มนั้นช่วงแรกๆ ก็เลยเต้นอะไรไม่ได้ ต้องใส่เฝือกแล้วนั่งร้องเพลง ทุเรศเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วพอถึงคราวนี้ พอกะว่าจะปล่อยอัลบั้มโซโล่แรกเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว น้อยนอนหลับท่าไหนไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตื่นขึ้นมามันยกเท้าไม่ได้ รู้สึกชาไปหมด

     “ตอนแรกที่เป็น น้อยคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวมันคงดีขึ้น ปรากฏว่าผ่านไปเรื่อยๆ มันก็ยังไม่ดีขึ้น ยังยกเท้าไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต

     “หมอบอกว่ามันเกี่ยวกับเส้นประสาทที่อักเสบ ซึ่งต้องฟื้นฟูและบำบัดอย่างเดียว 90 เปอร์เซ็นต์น่าจะหายอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาประมาณ 4 เดือนกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ น้อยก็เลยต้องให้เวลากับมัน แล้วใจเย็นๆ

      “แต่มันก็รำคาญนะฮะ เพราะตอนนี้มันยังทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำไม่ได้ คนดูอาจจะไม่ค่อยสังเกตว่าเรามีปัญหาอะไรกับร่างกาย

     “เราก็เริ่มอยู่กับมันแล้วก็เข้าใจมันแทน ขาข้างขวายังรับน้ำหนักมากไม่ได้ งั้นเราก็เปลี่ยนไปลงน้ำหนักที่ขาซ้ายแทน… ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะหายร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนที่อัลบั้มโซโล่จะเปิดตัว”

 

 

ที่ผ่านมา โชว์ของ ‘น้อย วงพรู’ เต็มที่มาตลอด ทั้งร้อง กระโดดโลดเต้น ถ้าทำอัลบั้มเดี่ยว ร่างกายน่าจะต้องพร้อมพอสมควร กังวลบ้างไหมกับอาการพวกนี้

     “ใช่ๆ น้อยก็รำคาญ โมโหด้วยนะฮะ กลุ้มใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าน้อยเป็นเพราะสาเหตุอื่นก็ยังพอเข้าใจ เช่น ระหว่างโชว์แล้วน้อยกระโดดลงมา แบบนั้นค่อยน่าจะบาดเจ็บหน่อย แต่แบบนี้มันโง่มากว่าระหว่างหลับมันเกิดเรื่องขนาดนี้ขึ้นได้ยังไง (หัวเราะ) แล้วมันยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาถึง 4 เดือน

     “ส่วนเรื่องการเพอร์ฟอร์ม น้อยว่าสปิริตของเรามันก็ยังเหมือนเดิมนะ นักร้องหรือร็อกเกอร์ทุกคนในใจก็ยังเหมือนเด็กนะฮะ เปรียบเหมือนนักกีฬา อย่างคริสเตียโน โรนัลโด ที่สมัยก่อนก็อาจจะวิ่งขึ้น-ลงสนามได้สบาย แต่พอถึงวันที่อายุ 32 แล้ว เขาก็อาจจะต้องเริ่มวิ่งชะลออยู่หน้าประตู แล้วก็รอจังหวะดีๆ เพื่อยิงประตูมากขึ้น

     “แต่ความจริงน้อยแก่กว่าโรนัลโดเยอะนะ (หัวเราะ) อย่างสมัยก่อนที่น้อยเริ่มต้นในวงการ ตอนนั้นอายุ 31 ซึ่งก็ถือว่าอายุมากแล้วนะ แต่น้อยก็ยังฟิตพอที่จะเล่นบนเวทีรวดเดียว 15 เพลง”

 

คุณเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบในโชว์ขนาดไหน เพราะคุณพูดเรื่องโชว์ที่ไม่ค่อยเวิร์กอยู่บ่อยๆ น่าคิดเหมือนกันนะว่าในช่วงที่ร่างกายยังไม่สมบูรณ์เต็มที่แบบนี้ มันก็ง่ายเหมือนกันที่คุณจะเศร้า

     “น้อยว่ามันแล้วแต่คนนะครับ บางคนเขามั่นใจมาก เขาก็ไม่คิดมาก… (คิดนาน) มันเหมือนกับนักกีฬาที่บางวันเขาเล่นได้อย่างไหลลื่น ทำอะไรก็ออกมาดีไปหมด ถ้าเป็นนักฟุตบอลก็เลี้ยงลูกเข้าไปยิงประตูได้อย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเดียวกันกับที่น้อยอยากไปถึง และถ้าไปถึงตรงนั้น คือทุกเพลงมันก็จะออกมาเป็นเพอร์เฟกต์โชว์ เหมือนทุกเม็ดของดนตรีมันเข้ามาอยู่ในใจแล้ว น้อยเคลื่อนไหวไปพร้อมกับมันอย่างสวยงาม โน้ตบางคีย์ที่สูงๆ ก็ร้องได้หมด ซึ่งถ้าไปถึงได้ น้อยจะรู้สึกดีมาก

     “เมื่อก่อนน้อยจะคิดมากเรื่องคนดูด้วย อย่างเวลาเล่นโชว์ ถ้าเห็นใครเดินออกจากโชว์ก็จะเริ่มเศร้า แต่บางทีอย่างเวลาน้อยไปดูบียอนเซแล้วปวดท้องฉี่ พอถึงเพลงไหนที่เขาร้องแล้วน้อยไม่รู้จัก งั้นไปก่อนละ ขอออกไปฉี่ช่วงนี้แล้วกัน (หัวเราะ) ถ้างั้นเราก็อย่าคิดมากเกินไป เพราะที่คนเดินออกไป ความจริงเขาอาจจะแค่เดินออกไปฉี่ หรือไม่ก็ต้องทำความเข้าใจคนดูด้วยว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เขาเป็นแฟนเพลงของคุณ แต่เขาอาจจะตามเพื่อนเข้ามาดูเราก็ได้”

 

 

ความจริงการขึ้นโชว์ของคุณก็เหมือนการบำบัดจิตใจของตัวเองด้วยเหมือนกันนะ

     “ใช่ฮะ มันเหมือนการบำบัด ซึ่งมันอาจจะออกมาไม่ดีก็ได้ ซึ่งน้อยก็เศร้านะ แต่เวลาที่โชว์มันออกมาดี น้อยก็รู้สึกดีมากเลย เพราะว่าสำหรับน้อย สิ่งที่เราต้องการและพยายามจะไปถึงคือ the perfect show ซึ่งมันยากมากที่เราจะอินกับมันเต็มที่ทุกเพลง คือบางทีไอ้ตัวไม่ดี ไอ้ตัวที่เป็นปีศาจในหัว มันก็เริ่มจะมาแล้ว ซึ่งน้อยก็ต้องเริ่มสู้กับมัน”

 

โชว์ของน้อย วงพรู ที่ไม่ค่อยดีนี่มันเป็นยังไงเหรอ เพราะเท่าที่เคยดู ผมว่ามันก็ออกมาดีทีเดียวนะ

     “บางทีคนดูไม่รู้นะ แต่น้อยกับคนรอบข้างจะรู้ อย่างสมัยยังเป็นวงพรู อีก 3 คนจะรู้เลยถ้าน้อยเริ่มไปแล้ว สมาธิจะเริ่มหลุด สายตาเริ่มไม่โฟกัส เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเต้นไม่พลิ้ว แข้งขาเริ่มไม่ไป (หัวเราะ) พอมันเริ่มมา บางทีน้อยก็คิดนะว่าจะออกจากความทุกข์ในใจยังไงดีวะ น้อยเลยจะเปิดตาแล้วร้องเพลง หรือบางทีก็เต้นให้มันเยอะๆ ไปเลยดีกว่า คือเราพยายามทำอะไรสักอย่างให้ไอ้ตัวปีศาจนี้มันออกไป ซึ่งอย่างที่บอกว่าคนดูอาจจะไม่รู้ นึกว่าเป็นฟีล แต่ความจริงเรากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ (หัวเราะ) แล้วช่วงที่ต่อสู้มันก็แย่ เพราะตอนนั้นเราจะไม่อินกับเพลงสักเท่าไร โคตรซวยเลย”

 

ความจริงการที่ศิลปินขึ้นไปร้องเพลงดูเป็นเรื่องที่น่าจะสร้างความสุข แต่กับคุณ หลายครั้งพอลงจากเวทีมันนำพามาด้วยเรื่องเศร้าๆ ถ้างั้นในวัยแบบนี้ ตกลงคุณต้องการอะไรในการทำอัลบั้มหรือออกไปเพอร์ฟอร์มบนเวที  

     “น้อยว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินเวลาที่เราเจอกับ 2 ใน 10 โชว์ที่ออกมาเฟอร์เฟกต์จริงๆ เวลาที่เรารู้สึกว่าได้คอนเน็กต์กับคนดูร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคุ้มค่ามากกับการต่อสู้เพื่อโชว์นั้น คนดูอาจจะไม่รู้ว่าเวลาที่ไปถึงจุดนั้นได้มันรู้สึกสุดยอดจริงๆ เหมือนเราก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง วิญญาณเรามันก็ fly… เหมือนเราอยู่ใน nirvana (นิพพาน) สำหรับศิลปินหลายคน น้อยมองว่าที่เขาอยากขึ้นเวทีกันก็เพราะอยากเจอประสบการณ์แบบนี้ น้อยก็เลยมักจะค้นหาความรู้สึกนั้นบนเวทีอยู่เสมอ

     “แต่ในเวลาเดียวกัน การทำงานศิลปะ หรืออย่างเวลาเล่นคอนเสิร์ต มันก็ต้องมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะทุกคนก็ต้องทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นน้อย ศิลปินระดับมาดอนน่า หรือจัสติน บีเบอร์ อีกอย่างแม้แต่ศิลปินระดับโลก เดี๋ยวนี้เงินที่เขาได้ส่วนใหญ่มันก็มาจากการแสดงคอนเสิร์ตนะฮะ นี่เลยเป็นสาเหตุที่แม้แต่ Guns N’ Roses ยังกลับมาเล่นด้วยกัน (หัวเราะ) ทั้งที่ Slash กับ Axl Rose ก็ไม่ชอบกันเลย หรืออีกวงอย่าง The Police ซึ่ง Sting กับเพื่อนร่วมวงอีก 3 คนเขาก็ไม่ได้ชอบกันเท่าไร แต่ว่าเพื่อเงินก็ยังต้องกลับมา

     แต่พูดแบบนี้เดี๋ยวคนอาจจะเข้าใจผิดหาว่าน้อยกลับมาทำอัลบั้มเพื่อเงิน เพราะบางคนอาจจะรู้ว่าน้อยมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะหน่อย ตรงนี้แล้วแต่คนจะมองนะ แต่คนอาจจะลืมไปว่าน้อยเป็นลูกครึ่งอเมริกันที่แบบ.. พ่อก็ไม่ได้มีสตางค์อะไร แล้วเขาก็สั่งสอนมาว่าเราทุกคนต้องทำงานเพื่อตัวเอง และต้องทำงานด้วยความสนุก น้อยว่าคงเหมือนกับพี่แอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) ที่ตอนนี้เขาเป็นเศรษฐีแล้ว แต่ก็ยังเล่นดนตรีเพื่อคนอื่น เพื่อให้คนในวงของเขายังอยู่ได้

     “ฉะนั้นในแง่ของศิลปินกับธุรกิจ เราก็ต้องทำให้มันวิน-วิน มีครั้งหนึ่งที่น้อยเล่นโชว์ไปแล้วก็บอกกับเจ้าของร้านว่าไม่เอาสตางค์ เพราะโชว์นี้น้อยเล่นไม่ดีเลย ซึ่งถ้าเราเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ในเมื่อเขาให้เงินคุณมาแสดง แต่ถ้างานออกมาไม่ดี ถ้างั้นน้อยไม่เอาเงินคุณดีกว่า ซึ่งนั่นก็โยงไปถึงปัญหาส่วนตัวของน้อยที่คิดมากว่าคนเขาอุตส่าห์จ่ายเงิน ยูก็ต้องโชว์ให้เต็มที่สิวะ ยูจะมัวคิดถึงแต่ปัญหาส่วนตัวทำไม ทุเรศฉิบหาย”

 

พออัลบั้มเดี่ยวปล่อยออกมา คอนเสิร์ตในระดับที่ใหญ่ขึ้นก็น่าจะตามมาด้วย อีกนานไหมกว่าร่างกายและจิตใจของคุณจะพร้อมสำหรับโชว์ในระดับนั้น

     “ใช่ น้อยกลัวที่สุดเรื่องคอนเสิร์ตนะฮะ (คิด) สมัยก่อนกับ ‘วงพรู’ น้อยไม่รู้สึกกดดันเท่านี้ เพราะในวงน้อยยังมีเพื่อนอีก 3 คน โดยเฉพาะสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) ที่เขาเหมือนเป็นหัวหน้าวง เขาเป็นคนพูดเก่งที่สุด เวลาไปสัมภาษณ์ที่ไหน สุกี้ก็มักจะพูดมากกว่าน้อย บนเวที สุกี้ก็พูดมากกว่าน้อย เพราะเขาเป็นผู้นำที่ดี แต่ตอนนี้พอปล่อยงานอัลบั้มโซโล่ออกมา มันก็ขึ้นอยู่กับน้อยแล้ว…”

 

ตรงนี้น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ต้องเตรียมตัว

     “ใช่ฮะ มันเป็นอีกความกดดัน เพราะน้อยพูดไม่เก่ง แต่คิดว่าน่าจะไหวนะฮะ คนที่มาดูเขาเข้าใจคาแรกเตอร์เราว่าพูดไม่เก่ง บางทีก็พูดมั่ว แต่เขาก็เข้าใจ เราแค่ต้องไม่ไปคิดมาก อย่าไปเห็นแก่ตัว น้อยอยากมีคอนเสิร์ตที่ดี

     “ถามว่าตอนนี้พร้อมไหม น้อยยังไม่พร้อมนะ กับวงเราเองตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวน้อยเองก็ยังไม่เต็มร้อย ร่างกายก็ยังไม่พร้อม เสียงร้องก็ยังไม่ดีพอสำหรับโชว์ขนาดใหญ่ เหมือนนักบอลที่หายไปนานแล้วเตรียมตัวกลับมาเล่นใหม่ โค้ชคงยังไม่ให้ยูลงไปเตะเต็มเวลา หรือไม่ยูอาจจะต้องลงไปเล่นกับทีมสำรองก่อน”

 

 

งั้นถ้าพรุ่งนี้คือวันเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยว  

     “น้อยคงกลัว คงเป็นอาการเดียวกับเวลาผู้กำกับลุ้นหนังเข้าฉายอาทิตย์แรกนะฮะ อาจจะต่างกันตรงที่ถ้าเป็นหนัง มันตูมเดียวรู้เรื่องในอาทิตย์แรกเลย ส่วนอัลบั้มเพลงยังใช้เวลาปูทางได้ในระดับหนึ่ง คือเราก็เป็นมนุษย์เนอะ ในเมื่อทำงานออกมาแล้วก็ได้แต่หวังว่ามันจะเวิร์ก แต่ก็อย่างที่น้อยพูดบ่อยๆ ว่าถ้าปล่อยออกมาแล้วแป้ก ไม่มีเพลงไหนเวิร์กเลย น้อยก็คงเศร้าแบบมโหฬาร “อะไรวะ กูจะไม่ทำเพลงแล้วว่ะ” พูดจริงๆ นะว่าน้อยก็ไม่รู้ว่า… น้อยจะเขียนเพลงต่อไปทำไม เพราะ ‘ไอ’ ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

     “น้อยคิดว่าอัลบั้มนี้น้อยทำดีที่สุดแล้วสำหรับตลาดในบ้านเรา เพราะน้อยไม่ได้พยายามจะทำเพลงเหมือนในอัลบั้มชุดที่ 2 ของวงพรูที่ฟังยาก แต่อัลบั้มนี้น้อยพยายามจะทำเพลงป๊อปคุณภาพที่คนในบ้านเราน่าจะคอนเน็กต์กับมันได้ ซึ่งถ้าออกมาแล้วเกิดไม่เวิร์กจริงๆ น้อยก็ไม่รู้จะเขียนเพลงยังไงแล้ว เพราะถ้าต้องไปร้องเพลงที่คนอื่นทำให้ มันคงไม่สนุก แล้วน้อยก็ไม่ชอบ เพราะน้อยรู้สึกเหมือนไม่ได้คอนเน็กต์กับมัน”

 

คุณคิดว่าใครคือแฟนเพลงที่กำลังรอคอยอัลบั้มเดี่ยวของ ‘น้อย วงพรู’ หลังจากคุณหายจากงานสตูดิโออัลบั้มไปนานเกือบจะสิบปี  

     “แฟนเพลงวงพรูสิที่คาดหวัง คนเจเนอเรชันใหม่น้อยไม่ได้คาดหวังมาก แต่เหมือนที่เพิ่งบอกแหละฮะ คือไม่ว่าศิลปินจะอินดี้หรือไม่อินดี้ เวลาทำเพลงในอัลบั้ม เราอยากทำเพื่อกลุ่มแฟนเพลงที่เขาน่าจะรอฟัง แต่เมื่อไรก็ตามที่มันครอสโอเวอร์ไปคอนเน็กต์กับอีกกลุ่มได้ ตรงนั่นคือความโชคดีมาก เพราะน้อยอยากให้เพลงคอนเน็กต์กับคนได้ แล้วถ้ามันทำได้มากกว่าเพลงหนึ่งก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะลงท้ายแล้วน้อยไม่ได้เป็น one hit wonder นะ แต่น้อยรู้สึกว่าตัวเองเป็น one album hit wonder หมายถึงอัลบั้มชุดแรกที่มันมีเพลงฮิต หรือมีหลายเพลงที่คนฟังชอบ มันเลยทำให้น้อยอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้

 

ถึงผ่านเวลาไปนานแล้ว แต่ ‘วงพรู’ น่าจะยังมีความหมายกับคุณมาก

     “วงพรูเป็นตำนานสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วน้อยเองก็เข้าใจและเคารพว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมวงอีก 3 คน น้อยคงไม่สามารถแจ้งเกิดและมาถึงจุดนี้ได้ อีกอย่างบางคนอาจจะคิดว่านักดนตรีเวลายุบวงแล้วมาทำอัลบั้มเดี่ยวต่อมักจะไม่เวิร์ก มันเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่น้อยไม่คิดอย่างนั้นนะ เพราะมันก็มีทั้งคนที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับเพลงของคุณว่าดีหรือไม่ดี   

     “การทำอัลบั้ม ไม่ว่ายังไงตัวเพลงก็สำคัญที่สุด

     “ในเวลาเดียวกัน น้อยก็ยังอยากเป็น ‘น้อย วงพรู’ เวลาที่ไปเล่นแต่ละงาน เขาก็ต้องทำโปสเตอร์โปรโมต ซึ่งน้อยไม่อยากเป็น ‘น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์’ หรือ ‘น้อย กฤษดา’ …น้อยว่ามันแปลกๆ น้อยไม่ชอบ น้อยชอบความเป็น ‘น้อย วงพรู’

     “โชคดีที่สมาชิกวงอีก 3 คนเขาไม่มีปัญหา ถ้าจะใช้ชื่อว่า ‘น้อย วงพรู’  ผมหมายถึงไม่ใช่ใช้ชื่อ ‘พรู’ อย่างเดียวนะครับ แต่ต้องเป็น ‘น้อย วงพรู’ (หัวเราะ) ส่วนชื่อที่จะใช้ตอนอัลบั้มเดี่ยว ตอนนี้ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะใช้ชื่อแค่ว่า ‘น้อย’ แล้วตามด้วยอะไรบางอย่าง ชื่ออัลบั้มยังไม่รู้อีกเหมือนกันฮะว่าจะมีหรือเปล่า ยังคิดไม่ออก (ยิ้ม) ส่วนโปรโมตตอนเล่นโชว์ ถ้าใครจะใช้ชื่อว่า ‘น้อย พรู’ น้อยก็แฮปปี้กับตรงนั้น เพราะเราก็เกิดมาจากวงพรู”

 

     (ติดตามตอน 3 เร็วๆนี้)

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X