×

เราได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตของคริส มาร์ติน

17.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 mins read
  • วัย 13-15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับคริส เพราะเขาไม่ได้รับความนิยมมากนักในโรงเรียน และร่างกายกำลังเผชิญกับ ‘วัยเริ่มหนุ่มสาว’ คริสเองยังสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นเกย์
  • เมื่อจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คริสเลือกเรียนสาขา Ancient World Studies ที่ University College London (UCL) และจบปริญญาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
  • คริสเคยให้สัมภาษณ์ว่า กวินเนธ พัลโทรว คือรักแรกของเขา และเปรียบเทียบเหมือนคู่ของโรมิโอ-จูเลียต ที่มาพร้อมอุปสรรคหลายๆ ประการ
  • คริสเป็นพ่อที่เอาใจใส่ลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่จะโยนเงินให้ใช้ขณะที่ตัวเองไปทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก
  • สิ่งที่ทำให้คริสยืนหยัดและดูเหมือนจะอยู่ในช่วงชีวิตที่แฮปปี้ที่สุด ณ วันนี้คือความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้อง ‘สร้างภาพ’ อะไรเยอะ

     นักร้อง, นักแต่งเพลง, นักเปียโน, พ่อ, อดีตสามี, แรงบันดาลใจ ฯลฯ นี่เป็นเพียงบางส่วนของคำบรรยายหน้าที่ของ คริส มาร์ติน (Chris Martin) นักร้องนำของ Coldplay หนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี เพลงของพวกเขาช่วยบำบัดจิตใจ เป็นเพลงที่ทำให้มีพลังสู้ชีวิตต่อไป ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน และเป็นเพลงที่นำพาความสุข ทั้งยังทำให้คนมารวมตัวกันภายใต้ภาษาดนตรีที่ไร้พรมแดน

     ตัวตนของคริสเองอาจไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก และมักเป็นที่สนใจแค่ว่าเขากำลังเดตกับนักแสดงสาวคนไหน แต่จริงๆ แล้วผู้ชายคนนี้มีอะไรน่าศึกษา น่าค้นหา และน่าจะมีทัศนคติหลายๆ อย่างให้เราหยิบไปใช้ได้ในชีวิตจริง

 

 

จุดเริ่มต้น

     คริส มาร์ติน หรือคริสโตเฟอร์ แอนโทนี จอห์น มาร์ติน (Christopher Anthony John Martin) เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ปี 1977 ที่หมู่บ้านไวต์สโตน ในเขตปกครองเดวอน ประเทศอังกฤษ เขาเป็นลูกชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 5 คน โดยคุณพ่อแอนโทนี มาร์ติน (Anthony Martin) เป็นนักบัญชี ส่วนคุณแม่แอลิสัน มาร์ติน (Alison Martin) เป็นครูสอนดนตรี คริสเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำชายล้วน Sherborne และเคยเป็นประธานชมรมแฟนคลับ ‘Sting’ นักร้องชื่อดังและหนึ่งในสมาชิกวงร็อกในตำนาน The Police

 

     

     เมื่ออายุ 11 ปี คริสร้องเพลงในที่สาธารณะครั้งแรกที่โรงเรียน เพลงที่เขาร้องเป็นเพลงที่เขาแต่งเกี่ยวกับ ‘หนังสือพิมพ์’ คริสยังเคยให้สัมภาษณ์ขำๆ ไว้ว่า เพลงนี้ไม่ค่อยดีนัก และยังหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้ จนมาถึงช่วงวัยรุ่น คริสเข้าร่วมวงดนตรีหลายวงอย่าง The Rocking Honkies, Identity Crisis และ Floating Insomnia ที่เน้นเล่นเพลงบลูส์เป็นหลัก โดยบทเพลงแรกๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคริสก็คือ Bad ของไมเคิล แจ็กสัน และ Take On Me ของวง A-ha จากประเทศนอร์เวย์

     อายุ 13-15 ถือเป็นช่วงเวลาที่มืดมน เพราะเขาไม่ได้รับความนิยมมากนักในโรงเรียน และร่างกายกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงในช่วง ‘วัยเริ่มหนุ่มสาว’ คริสยังเคยสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นเกย์ เพราะตอนนั้นเขาชื่นชมวงบอยแบนด์ Take That อย่างมาก ซึ่งต่อมาเขาจึงมั่นใจว่าตัวเองชอบผู้หญิง

     อายุ 16 คริสลุกขึ้นมาบอกตัวเองว่าไม่อยากตกอยู่ในวังวนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างจำเจ เรียนหนังสือ เข้ามหาวิทยาลัย ทำงานประจำ และเกษียณด้วยการมีบ้านพักตากอากาศสักหลัง เขาจึงมุ่งมั่นที่จะทำให้คนที่เคยดูถูกในตอนนั้นเห็นว่าเขาจะประสบความสำเร็จให้ได้ในวันหนึ่ง

     พอเข้ามหาวิทยาลัย คริสก็เลือกเรียนสาขา Ancient World Studies ที่ University College London (UCL) และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้ก็เป็นสถานที่เดียวกับที่คริสได้เจอเพื่อนๆ 3 คนชื่อ กาย เบอร์รีแมน (Guy Berryman) ที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์, วิลล์ แชมเปี้ยน (Will Champion) ที่เรียนมานุษยวิทยา และจอนนี บัคแลนด์ (Jonny Buckland) ที่เรียนคณิตศาสตร์ กลุ่มเพื่อน 4 คนนี้อาศัยอยู่ในหอพักเดียวกัน ฟอร์มวงที่ต่อมาจะมีเพลง Yellow, Fix You, Viva La Vida เป็นต้น และใช้นามว่า Coldplay

 

 

Photo: ALBANE LAURE/AFP

 

บทบาทอดีตสามีและพ่อ

     ในปี 2002 ตอน Coldplay กำลังโด่งดังสุดๆ กับสตูดิโออัลบั้มที่สอง A Rush of Blood to the Head คริสได้เริ่มคบหากับนักแสดงสาวดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง กวินเนธ พัลโทรว (Gwyneth Paltrow) หลังกวินเนธได้ไปเจอเขาหลังเวที คู่นี้ถือว่าได้รับความสนใจจากสื่อตั้งแต่เริ่มต้นและกลายเป็นข่าวในทุกฝีก้าว คริสเคยให้สัมภาษณ์ว่ากวินเนธคือรักแรกของเขา และถึงแม้รักแรกของเขาจะมาในคอนเซปต์ฝ่ายชายเป็นนักร้องวงร็อกจากอังกฤษ และฝ่ายหญิงเป็นนักแสดงอเมริกันจากฮอลลีวูด แต่เขาก็มองเหมือนเป็นคู่ของโรมิโอ-จูเลียต ที่มาพร้อมอุปสรรคหลายๆ ประการ ทั้งเชื้อชาติและที่อยู่อาศัย ซึ่งต้องก้าวผ่านไปให้ได้

 

 

     ความรักของทั้งคู่อาจไม่ดูหวานเยิ้มหน้าสื่อเหมือนคู่อื่นๆ และเขาทั้งคู่แทบไม่เคยเดินพรมแดงด้วยกัน แต่ความรักของคริสมักถูกเล่าผ่านบทเพลงที่เขาเขียน เช่น Fix You ที่เขียนเพื่อหาวิธีบำบัดความเศร้าของกวินเนธ เธอเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปเพียง 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะได้เจอกับคริสหลังเวทีและคบหากัน แค่จุดนี้ก็เห็นถึงความรักและสปิริตอันงดงามของคริสแล้ว

     ต่อมาในปี 2003 ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นพวกเขามีลูกสองคน ลูกสาวคนแรกชื่อ แอปเปิล บลายธ์ แอลิสัน มาร์ติน (Apple Blythe Alison Martin) ในปี 2004 และลูกชายชื่อ โมเสส บรูซ แอนโทนี มาร์ติน (Moses Bruce Anthony Martin) ในปี 2006 คริสถือได้ว่าเป็นพ่อที่เอาใจใส่ลูกอยู่ตลอดเวลา และไม่ใช่แค่จะโยนเงินให้ใช้ขณะที่ตัวเองไปทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก แค่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา คริสเองยังยอมบินกลับลอสแอนเจลิสเพื่อไปฉลองวันเกิดลูกชาย หลังจากคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ ก่อนจะบินกลับมาแสดงที่ไต้หวันในอีก 4 วันต่อมา

 

     

     แต่หลังคบกันได้ 12 ปี กวินเนธก็ตัดสินใจหย่าในปี 2014 แม้เหตุผลจะไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่คริสเคยพูดเปรยๆ ในสัมภาษณ์กับดีเจเซน โลว์ (Zane Lowe) ว่า ช่วงสองปีก่อนที่จะมีการหย่า เขาเองมีความกังวลในทุกๆ เรื่อง เพราะไม่สามารถหาความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ และมองหลายๆ อย่างในทางที่ไม่ดีต่อจิตใจ แต่พอเขาเริ่มหันมาอ่านผลงานของนักเขียนโฮโลคอสต์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองอย่างวิกเตอร์ แฟรงเคิล (Viktor Frankl) เรื่อง Man’s Search for Meaning และงานของนักกวีเปอร์เซียในยุคทศวรรษที่ 13 อย่างเมาลานา ญะลาลุดดิน รูมี (Maulana Jalaluddin Rumi) เขาเริ่มเห็นแสงสว่างในชีวิต และเริ่มเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความคิดแง่บวก

 

 

     ทุกวันนี้ถึงแม้คริสกับกวินเนธจะเป็นอดีตสามี-ภรรยา แต่การหย่าร้างของพวกเขาก็ไม่ได้มาพร้อมความอื้อฉาว แย่งชิงสมบัติ หรือสิทธิการเลี้ยงดูลูก (ซึ่งเรามักจะเห็นในวงการฮอลลีวูดเป็นประจำ) คริสและกวินเนธยังคงพาลูกๆ ไปเที่ยวพักผ่อนแบบ 4 คนอยู่เป็นประจำ กวินเนธเองก็ชอบพาลูกๆ ไปดูคอนเสิร์ตสำคัญของคริส เช่น เทศกาลดนตรีแกลสตันบูรี ที่คริสให้ลูกๆ มาร้องเพลงบนเวทีด้วย ส่วนคริสเองก็ซื้อบ้านที่ลอสแอนเจลิสอยู่ตรงข้ามบ้านกวินเนธ เพราะจะได้อยู่ใกล้ลูกๆ

 

 

เสน่ห์ของผู้ชายที่ชื่อ ‘คริส มาร์ติน

     การจะแบกรับภาระในการเป็นหน้าเป็นตาของหนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่ทำให้คริสยืนหยัดและดูเหมือนจะอยู่ในช่วงชีวิตที่แฮปปี้ที่สุด ณ วันนี้คือความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้อง ‘สร้างภาพ’ อะไรเยอะ เขาไม่ได้ต้องการเป็นร็อกสตาร์ที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่ ปรุงแต่ง และออกมาต่อว่าศิลปินคนอื่นๆ เพื่อให้ตัวเองดูเป็นใหญ่ ในวันว่างระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต คริสเองก็ชอบไปเยี่ยมแฟนเพลงที่ล้มป่วย อย่างที่ฟิลิปปินส์ เขาไปเยี่ยมแฟนเพลงที่เป็นมะเร็งในโรงพยาบาล หรือแม้แต่บนเวทีเอง คริสก็ชอบมีโมเมนต์พิเศษ เช่น ที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เขาก็ให้แฟนเพลงพิการที่อยู่บนวีลแชร์ขึ้นมาบนเวที หรือที่กรุงเทพฯ เขาก็ร้องเพลง Everglow เพื่อระลึกถึงการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

 

     คริสเคยพูดว่าก่อนที่ Coldplay จะกลายเป็นศิลปินที่ทัวร์คอนเสิร์ตระดับสนามกีฬาทั่วโลก เขามักชอบขอคำแนะนำจากโบโน (Bono) แห่ง U2 และบรูซ สปริงส์ทีน (Bruce Springsteen) เพื่อรับมือกับชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามา ซึ่งพอคริสมาถึงขั้นนี้ เขาก็อยากเป็นคนให้คำแนะนำศิลปินรุ่นใหม่ๆ เช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงเป็นเพื่อนกับแฮร์รี สไตล์ส (Harry Styles) และยอมร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่ ทั้งดูอา ลิปา (Dua Lipa) และ The Chainsmokers ในเพลงฮิตประจำปีอย่าง Something Just Like This บางคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมวงอย่าง Coldplay เลือกทำเพลงกับดูโอคู่นี้ที่อาจจะไม่ได้ดู ‘คูล’ และไม่ดูอัลเทอร์เนทีฟร็อกแบบยุคต้นๆ ของวง แถมช่วงหลังๆ เพลงของ Coldplay ก็ดูป๊อปขึ้นเรื่อยๆ แต่คริสก็ออกมาตอบข้อสงสัยว่าเขาหลงรักแนวเพลงทุกรูปแบบ เขาไม่ได้ต้องการจำกัดตัวเอง ถ้าวันหนึ่งเขากับวงอยากกลับไปทำเพลงแบบนอกกระแส เขาก็จะกลับไปทำ สิ่งนี้แสดงถึงความเข้าถึงง่ายของคริสที่กล้าที่จะทำงานกับคนที่อยู่ในหรือนอกกระแส ซึ่งคริสเองก็พูดเสมอว่า ถ้าคนชอบเพลงของวงเขา เขาก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร

 

     

     คริส มาร์ติน มีอะไรให้เราเรียนรู้มากไปกว่าแค่การพยายามสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองเหมือนเขา แต่เราก็ได้เห็นเส้นทางการดำเนินชีวิตจากการเติบโตเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจตัวเอง การเลือกอาชีพที่มาพร้อมความท้าทาย การตกหลุมรัก การต้องแยกทาง และการประคองตัวเองในช่วงที่มีอุปสรรค ไม่ว่าคุณจะอยู่อุตสาหกรรมใดก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงคนทั่วไปกับคริส มาร์ติน ได้ โดยไม่ใช่แค่กับเสียงดนตรี

     ถ้าเรามองโลกได้แบบคริสในวันนี้ วันหน้าก็อาจสวยงามและเต็มไปด้วยความหวัง

 

 

 

Photo: coldplay, Goop.com/Facebook

 

อ้างอิง: 

FYI

 

  • คริสเรียกตัวเองเป็น All-Theist ที่เป็นบุคคลไร้ศาสนา และเชื่อในศาสนาทุกประเภท
  • ตั้งแต่ปี 2015 คริสได้รับหน้าที่เป็นครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ ของเทศกาลดนตรี Global Citizen Festival ที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อช่วยเหลือปัญหาความยากไร้ โดยคริสจะรับตำแหน่งนี้เป็นเวลา 15 ปี
  • หนึ่งในเพื่อนสนิทของคริส คือนักแสดงไซมอน เพกก์ (Simon Pegg) ที่เขาได้เป็นพ่อทูนหัวของลูกสาวคริส ซึ่งคริสก็เป็นพ่อทูนหัวของลูกสาวไซมอนเช่นกัน
  • ผลงานล่าสุดของ Coldplay คืออีพีอัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า Kaleidoscope ที่บรรจุทั้งหมด 5 เพลง และมีความยาวรวมแค่ประมาณ 24 นาที

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising