หลังจากพ้นคิวของหุ่นยักษ์กับมนุษย์แมงมุมไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวของ ‘วานร’ ใน War for the Planet of the Apes ที่จะเข้ามายึดรอบฉายในโรงภาพยนตร์กันบ้าง คราวนี้จะเป็นบทสรุปของไตรภาค ที่เริ่มต้นจากภาค Rise of the Planet of the Apes ในปี 2011 ที่ซีซาร์ลืมตาขึ้นมาบนโลก จนวันนี้เขาเติบใหญ่เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นคนสำคัญในศึกที่จะตัดสินชะตาของเหล่าวานรและมนุษย์ทั้งหมดในครั้งนี้
– เนื้อเรื่องเป็นเหตุการณ์ 2 ปีหลังจากวานรถูกมนุษย์กระชับพื้นที่เข้าไปอยู่ในป่าจากภาค Dawn of the Planet of the Apes (2014) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่แค่เป็นบทสรุปของไตรภาคนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุผลโยงไปถึงจุดเริ่มต้นปริศนาของเรื่องทั้งหมดใน Planet of the Apes (1968) ต้นกำเนิดแฟรนไชน์นี้เมื่อ 50 ปีที่แล้วด้วย (ถ้านับรวมทั้งหมด War for the Planet of the Apes คือภาคที่ 8 ของแฟรนไชส์ Planet of the Apes)
– เป็นภาคที่มีเหตุการณ์ ‘ครั้งแรก’ ของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์เยอะมาก ตั้งแต่ เป็นครั้งแรกที่เริ่มเรื่องด้วยสงครามเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้น, ครั้งแรกที่ตัวร้ายเก่ง ฉลาดและโหดสมบูรณ์แบบ, ครั้งแรกที่มีวานรเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับมนุษย์, ครั้งแรกที่แทบไม่มีมนุษย์คนไหนเห็นใจพวกวานรเลย (ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่), ครั้งแรกที่มีวานรตัวอื่นนอกจากซีซาร์ที่สามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่ว และเป็นครั้งแรกที่ซีซาร์เข้าสู่ด้านมืดของจิตใจ มีแต่ความคิดแก้แค้นอย่างรุนแรงแบบเต็มตัว
– ศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวานรในภาคนี้คือ ผู้พันโคโลเนล ที่รับบทโดยวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน คราวนี้เขาถูกปรับแต่งลุคด้วยการโกนหัว ไว้หนวด ใส่ชุดทหารเพื่อให้เข้มสมกับบทผู้พันสุดโหด จนบางคนอาจจะนึกไม่ออกว่าเขาคือคนเดียวกับนักสืบมาร์ตี้ในซีรีส์ True Detective, เฮย์มิต โค้ชขี้เมาใน The Hunger Game และเมอร์ริต มายากรนักสะกดจิตใน Now You See Me
– แอนดี้ เซอร์คิส ที่รับบทเป็นซีซาร์ คือนักแสดงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคโมชันแคปเจอร์อันดับหนึ่งในฮอลลีวูดตอนนี้ เพราะนอกจากซีซาร์ แม้แต่กอลลัมใน The Lord of the Rings หรือ คอง ใน King Kong ปี 2005 ก็มาจากฝีมือการแสดงของเขาทั้งหมด และได้นำประสบการณ์ทั้งหมดมาเปิดบริษัท The Imaginarium Studios เพื่อรับทำเทคนิคนี้โดยเฉพาะ
– ระหว่างถ่ายทำ ทีมงานจะติดตัวส่งสัญญาณไว้บนกล้ามเนื้อหน้าทุกจุดของนักแสดง แล้วส่งสัญญาณข้อมูลการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดกลับมาเพื่อรวมเอา ‘ความรู้สึก’ กับ ‘รูปหน้า’ ของแอนดี้และซีซาร์ไว้ด้วยกัน
– Weta Workshop คือ บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านวิชวลเอฟเฟกต์ (โดยเฉพาะโมชันแคปเจอร์) ที่สร้างชื่อจากไตรภาค The Lord of the Rings และค่อยๆ เหมางานสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่เกี่ยวกับตัวละครทั้ง Van Helsing, I, Robot, The Chronicles of Narnia, District 9, Avatar, Rise of the Planet of the Apes, The Hobbit, Mad Max: Fury Road, Thor: Ragnarok ฯลฯ ไปจนหมด
– War for the Planet of the Apes ได้คะแนนจากเว็บ IMDb อยู่ที่ 8.9 และกวาดคะแนนจากนักวิจารณ์ในเว็บมะเขือเน่าไป 8.2 คะแนน กลายเป็นหนังในแฟรนไชน์ Planet of the Apes ภาคที่ได้คะแนนสูงสุด และยังเป็นหนังที่ได้คะแนนจากทั้ง 2 เว็บมากที่สุดในหนังซัมเมอร์ปี 2017 นี้ด้วย