Stella McCartney คือหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นระดับลักชัวรีที่ยังคงยึดมั่นในแนวคิด ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืน’ และตระหนักถึงปัญหาสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ ตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ในปี 2001 ภายใต้การร่วมมือกับบริษัทกลุ่ม Kering ที่เป็นเจ้าของ Gucci, Alexander McQueen และ Saint Laurent เป็นต้น
สำหรับแบรนด์ที่เรียกตัวเองว่า ‘มังสวิรัติ’ หรือ Vegetarian Brand จึงเป็นที่รู้กันดีว่า Stella McCartney ไม่เคยใช้หนังสัตว์หรือขนสัตว์ในการทำเสื้อผ้า และมากกว่า 53% ของเสื้อผ้าในคอลเล็กชันผู้หญิงใช้เนื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้าไนลอนแบบรีไซเคิล ผ้าออร์แกนิกคอตตอน และผ้าแคชเมียร์แบบแปรรูป หรือที่เรียกกันว่า Regenerated Cashmere
เพื่อเป็นการสานต่อวัตถุประสงค์นี้ สำหรับแคมเปญซีซัน Winter 2017 ทางแบรนด์ได้ร่วมมือกับศิลปินอย่าง เออร์ส ฟิสเชอร์ (Urs Fischer) และช่างภาพแฟชั่น ฮาร์เลย์ เวียร์ (Harley Weir) ในการรังสรรค์ภาพที่เล่นกับคอนเซปต์ของเสีย ความสิ้นเปลือง และการบริโภคเกินตัวของมนุษย์ โดยไปถ่ายกันที่ประเทศสกอตแลนด์ ท่ามกลางซากรถยนต์ ซากปรักหักพัง และกองขยะ ซึ่งทุกวันนี้มนุษย์เราใช้พลาสติกมากกว่า 300 ล้านตันต่อปี โดยมากเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งยังมีพลาสติกกว่า 8 ล้านตันถูกปล่อยทิ้งลงสู่ทะเลทุกๆ ปี
สเตลลากล่าวว่า “ไอเดียของแคมเปญนี้คือการสะท้อนว่ามนุษย์เราต้องการอะไร และทัศนคติของเราตอนนี้กำลังนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางแบบไหน มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมันไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ และเราไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำส่งผลอย่างไรต่อชีวิตอื่นบนโลก เพราะเหตุนี้โลกเราจึงเต็มไปด้วยขยะที่เกิดจากความต้องการที่มากเกิน”
นางแบบที่มาร่วมแคมเปญนี้ก็มีตั้งแต่เบอร์กิต คอส, เอียนา กอดเนีย และฮวานโจว ที่ใส่ชุดจากคอลเล็กชันล่าสุด ซึ่งเป็นคอลเล็กชันเดียวกันกับโชว์ที่กรุงปารีสในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปิดท้ายด้วยเหล่านางแบบออกมาร้องเพลง Faith ของจอร์จ ไมเคิล บนรันเวย์ เพื่อเป็นการยกย่องศิลปินชาวอังกฤษที่เพิ่งจากไปในตอนนั้น และเพลง All You Need Is Love ของ The Beatles โดยหนึ่งในสมาชิกอย่างพอล แม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งก็คือพ่อของดีไซเนอร์นั้นเอง
Photo: Courtesy of Stella McCartney