‘ฤดูหนาวแห่งคริปโตเคอร์เรนซี’ คงจะเป็นคำนิยามที่เหมาะสมสำหรับปี 2022 ที่สุด ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนจากเงินเฟ้อในระดับสูง จนเกิดการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีกระแสเงินไหลออกจากทั้งคริปโตและสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งโลก ทำให้แม้กระทั่งเหรียญใหญ่ในโลกคริปโตอย่าง Bitcoin ก็ปรับตัวลงมาถึง 60% นับจากต้นปี ในขณะที่บางเหรียญปรับตัวลงไปมากกว่านั้น หรือแม้กระทั่งถึงขั้นปิดโปรเจกต์ไปเลยก็มี
ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคริปโตพากันล้มละลายไปจำนวนมาก ช่วงกลางปีเกิดกรณี Terraform Labs, Celsius, Voyager หรือแม้แต่ผู้ประกอบการไทยอย่าง Zipmex มาจนถึงปลายปีก็เกิดการล้มละลายของ FTX ที่เป็นประเด็นร้อนในช่วงที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รวมมุมมองเซียน หลังราคา Bitcoin เคลื่อนไหวผิดคาดในปี 2022
- หายนะจากการล่มสลายของ FTX อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคริปโตใน 3 มิติ
- ไขข้อข้องใจ ทำไมเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023?
แล้วปี 2023 จะเป็น ‘ฤดูใบไม้ผลิแล้วหรือยัง?’ วันนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจมุมมองของปี 2023 กัน
2023 ปีแห่งการพิสูจน์ (ต่อไป)
หากมองย้อนหลังกลับไปในช่วงปลายปี 2017 จะเห็นได้ว่า Bitcoin ขึ้นทำจุดสูงสุดที่ระดับ 19,720 ดอลลาร์ ก่อนปรับตัวลงไปมากกว่า 80% ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ราว 3,158 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2018 และเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากนำมาเทียบเคียงอย่างง่ายๆ จะพบว่าวัฏจักรดังกล่าวควรจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการปรับตัวลง ก่อนเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งหมายถึงในรอบนี้ Bitcoin ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 69,00 ดอลลาร์ในช่วงเดือนพฤจิกายน 2021 และช่วงเดือนพฤศจิกายน 2022 Bitcoin ปรับตัวลงมากกว่า 75% จากจุดสูงสุด เคลื่อนไหวบริเวณ 15,515 ดอลลาร์ ก็สามารถตีความได้ว่าปี 2023 Bitcoin จะเริ่ม Sideway Up (ปรับตัวขึ้นแบบออกข้าง)
อย่างไรก็ตาม เมื่อกะเทาะดูไส้ในจริงๆ แล้ว พบว่าในช่วงปี 2017-2018 ไม่ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นเหมือนที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งเรื่องระดับเงินเฟ้อที่สูงจนทำให้ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยแตะระดับ 4.25-4.50% สูงสุดในรอบ 15 ปี และแม้ในปี 2023 มีโอกาสชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่อาจทำให้เงินลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงถูกกดดันอยู่ และการเคลื่อนไหวของราคาอาจไม่เป็นไปตามวัฏจักรคริปโตในรอบก่อนหน้า
แต่ถึงกระนั้น ท่ามกลางความท้าทายของสินทรัพย์ทุกชนิดในปี 2022 ตลาดคริปโตได้พิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนยันได้ว่าคริปโตไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสที่มาแล้วจากไป โดยเหรียญใหญ่อย่าง Bitcoin, Ethereum หรือ BNB และอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ แม้จะมีหลายเหรียญที่หายไปพอสมควร
เหลือเพียงผู้แข็งแกร่ง
ในปี 2023 จะเริ่มเห็นได้ว่าผู้ประกอบการคริปโตจะเริ่มเหลือน้อยรายลงเรื่อยๆ จากการที่ปี 2022 มีผู้ประกอบการหลายรายที่ไม่ซื่อสัตย์ ใช้เงินกู้เกินตัว หรือโครงสร้างธุรกิจที่ไม่แข็งแรง ถูกซื้อ/ควบรวม หรือแม้แต่ล้มละลายไป จนเหลือแต่ผู้ประกอบการคริปโตที่แข็งแรงไม่กี่ราย เช่น Binance, Coinbase เป็นต้น และสามารถสร้างธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงเท่านั้น
ในช่วงเวลาปี 2023 และหลังจากนี้ เราจะเริ่มเห็นการนำบล็อกเชนหรือคริปโตมาใช้ในภาคธุรกิจและภาคบริการจริงมาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมากกว่าแค่เพียงการเก็งกำไรเท่านั้น เพราะจำนวนผู้ใช้งานที่จะต้องการเข้าไปในโลกคริปโตเพราะต้องการเพียงการเก็งกำไรจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ภาคธุรกิจต้องสร้าง Use Case หรือการใช้งานจริงออกมา
หมดยุคฝ่นตลบ เข้าสู่ความชัดเจนมากขึ้น
ในปี 2022 มีเหตุการณ์ที่แพลตฟอร์มคริปโตจำนวนมากขาดความโปร่งใส เป็นเหตุให้แพลตฟอร์มถึงขั้นล้มละลายลงไป เช่น Terraform Labs, FTX เป็นต้น ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเสียหาย และขาดความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม นักลงทุนเริ่มตระหนักที่จะดูและรักษาเหรียญของตนเองด้วยตนเอง ตามคำที่ว่า ‘Not your keys, Not your coins’ รวมไปถึงมุมมองของการ Decentralize ของคริปโตที่จะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพลตฟอร์มที่เกิดปัญหาล้วนมาจาก Centralized Platform ทั้งสิ้น แต่ในทางกลับกัน Decentralized Platform ที่มีประสิทธิภาพกลับมีเสถียรภาพสูงกว่า ดังที่เห็นได้ว่ายอดการใช้งานของแพลตฟอร์ม DEX (Decentralized Exchange) อย่าง Uniswap พุ่งสูงขึ้น
แต่ทั้งนี้เอง ในฝั่งของ Centralized Platform ก็จะมีการเข้ามาของฝ่ายกำกับดูแลมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อวางกรอบการทำงานและดูแลนักลงทุนให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาสู่น่านน้ำนี้ยากขึ้น แต่ส่งผลดีกับนักลงทุนมากขึ้นเช่นกัน
โดยสรุป ต่อคำถามที่ว่า ปี 2023 จะเป็นฤดูใบไม้ผลิของตลาดคริปโตได้หรือไม่นั้น เราอาจจะต้องอาศัยฝากความหวังไว้ที่ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ธุรกิจที่สามารถนำไปใช้ในโลกความเป็นจริงได้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในคริปโต ซึ่งหากปีหน้ามีปัจจัยทั้งสามอย่างมาประจบพร้อมกัน ‘ฤดูใบไม้ผลิคริปโต’ ก็จะมาถึง