ผมเองก็มีอาการไม่ต่างจากทุกคนครับเมื่อตื่นมาพบกับข่าวบทสัมภาษณ์อื้อฉาวของ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Uncensored’ ของ เพียร์ซ มอร์แกน อดีตบรรณาธิการข่าวผู้ผันตัวเองมาเป็นผู้ดำเนินรายการทางช่อง TalkTV
พูดไม่ออกและบอกไม่ถูก
นอกจากจะไม่คิดว่าโรนัลโดจะเปิดใจผ่านรายการทอล์กโชว์แบบนี้แล้ว มากกว่านั้นก็ยังแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่มอร์แกนได้มีการ ‘ตัดตอน’ ดึงเอาส่วนที่เด่นของรายการซึ่งจะออกอากาศอย่างเป็นทางการในวันพุธและพฤหัสบดีที่ 16-17 พฤศจิกายนนี้
ส่วนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้คือเรื่องของความรู้สึกของตัวซูเปอร์สตาร์วัย 37 ปีกับคำจำกัดความสั้นๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาตลอดช่วงระยะเวลาร่วม 14 เดือนนับตั้งแต่ที่ย้ายกลับมาโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้งว่า ‘ถูกทรยศ’
โรนัลโดอธิบายความรู้สึกนี้ว่าเกิดจากการปฏิบัติต่อเขาจากต้นสังกัด และรู้สึกหงุดหงิดกับการจะต้องเป็น ‘แพะรับบาป’ (จริงๆ ใช้คำว่า ‘Black Sheep’) ที่ต้องรับผิดแทนคนอื่นในทุกเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นกับสโมสร
นอกเหนือจากนั้นคือเขารู้สึกถูก ‘บีบบังคับ’ ให้ต้องย้ายออกไป
ใครกันที่จะมาบังคับให้นักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ย้ายออกจากแมนฯ ยูไนเต็ดได้? จากปากคำของเขาเองคือคนที่เป็น ‘โค้ช’ และยังมีคนอื่นอีก 2-3 คนที่อยู่รอบตัวเขา
สิ่งที่โรนัลโดพูดคือ “ใช่ ไม่ได้มีแค่โค้ชด้วย (ที่บีบให้เขาย้ายออก) แต่ยังมีอีก 2-3 คนในสโมสร
“ผมไม่เคยจะพูดแบบนี้แต่ผมไม่แคร์แล้ว ทุกคนควรจะได้รู้ความจริง มันเป็นความจริงที่ผมรู้สึกว่าผมถูกทรยศ และผมรู้สึกว่ามีบางคนที่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่เฉพาะปีนี้ยังมีเมื่อปีที่แล้วด้วย”
จากคำพูดนี้ผมขอขยายความเพิ่มเติมให้ว่า 2 คนที่ต้องการให้โรนัลโดย้ายออกจากทีมคือ ราล์ฟ รังนิก ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจาก โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ แค่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ CR7 ได้กลับมาโรงละครแห่งความฝันอีกครั้ง
รังนิกมีความพยายามที่จะกดดันให้บอร์ดบริหารปล่อยตัวโรนัลโดออกจากทีมไปให้ได้เพราะรู้สึกได้ว่ามีปัญหา แต่ความพยายามของกุนซือชาวเยอรมันไม่สำเร็จ ขณะที่เทน ฮากนั้นแม้จะมีการแสดงออกในช่วงต้นว่าโรนัลโดยังอยู่ในแผนการทำทีม แต่เมื่อสตาร์หมายเลขหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งการซ้อม การเป็นแบบอย่างที่ดีในทีม ซ้ำยังทำลายบรรยากาศ สุดท้ายถึงจุดหนึ่งกุนซือชาวดัตช์ก็ตัดสินใจ ‘ไม่เอา’
ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะไม่มีสโมสรใดเลยที่อยากได้ตัวโรนัลโดไปร่วมทีมจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเทน ฮากแล้ว เพราะเขาได้เลือกแล้วว่าโรนัลโดเป็นแค่ ‘ตัวเลือก’ ไม่ใช่ ‘ตัวหลัก’ ในทีมอีกต่อไป วิธีจัดการก็คือวิธีจัดการกับนักเตะแบบ Squad Player ทั่วไป ให้โอกาสเล่นตามสมควร
นี่คือ 2 ผู้จัดการทีมที่ไม่ต้องการให้โรนัลโดอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งก็เป็น 2 คนที่ CR7 ‘เปิดวอร์’ ด้วยแบบเต็มตัวทั้งรังนิกที่หยามหยันว่ามือไม่ถึงจะเป็นโค้ช ส่วนเทน ฮากก็เป็นเรื่องของการไม่ให้เกียรติระหว่างกัน
ส่วน ‘อีก 2-3 คน’ ที่โรนัลโดไม่ได้เอ่ยชื่อถึงนั้น ยังไม่อยากคาดเดา แต่ก็เคยได้ยินมาว่ามีนักเตะระดับอาวุโสในทีมบางคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองหน้าระดับตำนานอย่างเขา
ผมคิดว่าเนื้อหาช่วงนี้คือส่วนที่เผ็ดร้อนมากที่สุดแล้ว นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องของความรู้สึกเจ็บปวดต่อสโมสรที่มีท่าที ‘ไม่เชื่อ’ เมื่อเขาแจ้งขอหยุดพักด้วยเหตุผลส่วนตัวทางครอบครัว ซึ่งมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรายการว่าเป็นเพราะลูกสาวที่เพิ่งคลอดได้ 3 เดือนมีอาการป่วย (และอย่าลืมว่าเขาเสียลูกชายฝาแฝดไป) ไปจนถึงการเหน็บกลับ เวย์น รูนีย์ อดีตคู่หู ‘Roonaldo’ ซึ่งคู่นี้ก็ไม่ได้ถูกกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว (ยังจำเหตุการณ์โรนัลโดเรียกใบแดงให้รูนีย์ในยูโร 2004 ได้ไหม?)
เนื้อหาส่วนที่เบาบางที่สุดแต่เป็นส่วนที่แฟนบอลเห็นด้วยกับโรนัลโดคือเรื่องการไร้พัฒนาของสโมสร ที่เหมือนถูก ‘หยุดเวลา’ เอาไว้ตั้งแต่ยุคที่เขาเคยอยู่ถึงปี 2009 และ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือในปี 2013
อ่างจากุซซี สระว่ายน้ำ ยิม เครื่องทำกาแฟ สิ่งที่ดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ (ซึ่งแฟนๆ บางคนอาจจะงงว่าพูดทำไม) แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เรื่องนี้คือการสะท้อนให้เห็นว่าแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ถูกทิ้งร้างอย่างน่าใจหาย
ในอดีตแมนฯ ยูไนเต็ดคือหนึ่งในสโมสรที่ ‘ล้ำหน้า’ มากที่สุดในยุคของเฟอร์กี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี อุปกรณ์ ไปจนถึงแนวทางในการจ้างโค้ชที่เก่งกาจมาดูแลในแต่ละส่วน (ซึ่งเฟอร์กีได้มาจากการศึกษาอเมริกันฟุตบอล และโรนัลโดก็เป็นคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฝึกฝนโดย เรเน มิวเลนสตีน) แต่วันนี้สโมสรอื่นไม่ได้แค่แซงหน้าแต่ยังทิ้งห่างไปไกลแล้ว
จุดนี้คือส่วนสำคัญในการไม่พัฒนาไปไหนของแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งไม่เคยมีใครปริปากพูดมาก่อน แม้แต่ตัวของเซอร์อเล็กซ์เอง เพราะรักสโมสรก็ไม่เคยพูดถึงในทางไม่ดีเลยสักครั้ง
อย่างไรก็ดีจุดที่ผมสะดุดใจมากที่สุดในบทสัมภาษณ์ที่ถูกตัดตอนมาคือในช่วงที่เขาอ้างอิงถึงคำพูดของ ปาโบล ปิกัสโซ หนึ่งในศิลปินเอกของโลก
โรนัลโดบอกว่า “เราต้องทำลายก่อนถึงจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ (แต่จริงๆ แล้วปิกัสโซบอกว่า “ทุกการสร้างสรรค์คือจุดเริ่มต้นการทำลาย”)
บอกกลายๆ ว่าถ้าการเสียสละออกรายการ ‘แฉ’ ของเขาจะช่วยให้อะไรๆ ในทีมดีขึ้น เขาก็ยินดี
โดยเบื้องหลังของการสัมภาษณ์ครั้งนี้มอร์แกนได้เปิดเผยผ่านทาง talkSPORT ว่าโรนัลโด – ซึ่งเขาเล่าถึงความสนิทชิดเชื้อกันในคอลัมน์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ The Sun – เป็นผู้ที่ขอให้ทำการสัมภาษณ์ในครั้งนี้
เจ้าตัวรู้ดีว่าพูดไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมาคืออะไร
แต่อย่างน้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด โรนัลโดไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้ ‘พูด’ ในมุมของตัวเองบ้าง หลังจากที่มีแต่คนเล่นประเด็นข่าวของเขามากมาย โดยที่หากยังจำกันได้ไม่นานมานี้โรนัลโดเคยปรากฏตัวในโซเชียลมีเดียและบอกในทำนองว่า “รออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะได้ฟังความจริงจากปากของเขาเอง”
นี่คือความจริงจากเขา – คริสเตียโน โรนัลโด
การออกมาสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเกมเพื่อบีบให้สโมสรตัดขาดจากเขา (ซึ่งไม่กี่วันก่อนหน้านี้ยังได้รับการยกย่องในฐานะ ‘ตำนานหมายเลข 7’ อยู่เลย) หรือจริงๆ แล้วก็แค่หัวใจไม่อยากจะอดทนอีกแล้ว มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกแล้ว
จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ ใครจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง หรือแม้แต่ตัวเขาเองจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เพราะเขาพูดแล้วและเขาจะไปแล้ว จะไม่มีวันหันกลับมามองที่แห่งนี้อีก
นี่คือเจตจำนงของคริสเตียโน ชายจากเกาะมาเดราผู้เลือกจะเผาตัวเองกลางโรงละครแห่งความฝัน
และพร่ำบอกทุกคนว่าเขาทำไปเพราะ ‘หวังดี’
แม้ไม่รู้ว่าจะเหลือสักกี่คนที่เชื่อในคำพูดนี้ก็ตาม