×

ฉากจบของ คริสเตียโน โรนัลโด ในโรงละครแห่งความฝัน

21.10.2022
  • LOADING...
คริสเตียโน โรนัลโด

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • การแสดงออกแบบไร้สปิริตของซูเปอร์สตาร์วัย 37 ปี ยิ่งเป็นการกระชับอำนาจของ เอริก เทน ฮาก ผู้ที่เราอาจบอกได้ว่าเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งของ โรนัลโด ในเวลานี้ให้มากขึ้นไปอีก เพราะภาพที่ออกมามองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเรื่องนี้ใครผิด-ใครถูก
  • สิ่งที่โรนัลโด, ลิโอเนล เมสซี, ไทเกอร์ วูดส์, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ หรือ ไมเคิล เฟลป์ส มีเหมือนกันมี 3 อย่างด้วยกัน คือ 1. ความสามารถ (Ability) 2. โชค (Luck) และ 3. ความเชื่อมั่น (Belief) โดยเฉพาะอย่างที่ 3 ที่จะเป็นตัวตัดสินความแตกต่างระหว่างสุดยอดนักกีฬากับคนธรรมดาทั่วไป 
  • โรนัลโดในวัย 37 ปีอาจจะเชื่อว่าเขามีดีพอที่จะยืนหนึ่งเหมือนเดิมได้สบายๆ ไปอีก 3-4 ปี (อย่างที่เจ้าตัวพร่ำบอก) เพียงแต่สิ่งที่เขาประเมินผิดคือการที่เชื่อว่า จะมีสักทีมที่เล่นในระดับแชมเปียนส์ลีกต้องการสุดยอดดาวซัลโวแบบเขาไปร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน

แม้จะแก่พรรษามาจนป่านนี้ แต่ คริสเตียโน โรนัลโด ก็อาจไม่ได้คาดคิดว่าการกระทำหุนหันพลันแล่นของเขาด้วยการเดินออกจากสนามในเกมพรีเมียร์ลีกนัดกลางสัปดาห์ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สยบท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ได้อย่างสวยงามจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้

 

หรืออาจจะรู้แต่ไม่สนใจ? เรื่องนี้ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวของเขาเอง

 

แต่ที่แน่นอนคือผลกระทบของการตัดสินใจแบบนี้ของเขารุนแรงมาก และเป็นผลลบไม่เพียงแต่ต่อเรื่องสถานะของเขาในทีม แต่ยังรวมถึงชื่อเสียงที่สั่งสมมาและสายสัมพันธ์กับแฟนๆ อย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

การแสดงออกแบบไร้สปิริตของซูเปอร์สตาร์วัย 37 ปี ยิ่งเป็นการกระชับอำนาจของ เอริก เทน ฮาก ผู้ที่เราอาจบอกได้ว่าเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งของโรนัลโดในเวลานี้ให้มากขึ้นไปอีก เพราะภาพที่ออกมามองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเรื่องนี้ใครผิด-ใครถูก

 

โรนัลโดผิดอย่างไม่ต้องสงสัย และเทน ฮาก มีศักดิ์และสิทธิ์ทุกประการที่จะลงโทษเขาให้หลาบจำ ต่อให้นักฟุตบอลคนนี้จะชื่อว่า คริสเตียโน โรนัลโด ก็ตาม

 

บทลงโทษที่ผู้จัดการทีมชาวดัตช์มอบให้คือการตัดชื่อออกจากทีมในเกมใหญ่กับเชลซี แม้ว่ามันจะหมายถึงการที่แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะขาดออปชันตัวสำรองในแนวรุก เพราะ อองโตนี มาร์กซิยาล ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่

 

มากกว่านั้นคือการสั่งให้ลงฝึกซ้อมลำพังที่แคร์ริงตันเป็นเวลา 3 วันด้วย

 

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะไม่บานปลายไปมากกว่านี้ เมื่อโรนัลโดได้แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป

 

โรนัลโดเขียนข้อความไว้แบบนี้ครับ

 

“เหมือนเช่นที่ผมได้ทำมาตลอดชีวิตการเล่นของผมเอง ผมพยายามที่จะใช้ชีวิตและลงเล่นด้วยความเคารพต่อเพื่อนร่วมทีม ต่อคู่แข่ง และต่อโค้ชของผมทุกคน เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปและผมเองก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ผมยังคงเป็นคนเดิม เป็นมืออาชีพคนเดียวกับที่ผมเป็นตลอด 20 ปีที่เล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดมา การเคารพซึ่งกันและกันนั้นมีส่วนสำคัญในการที่ผมจะตัดสินใจทำอะไร

 

“ผมเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กน้อย ตัวอย่างจากนักฟุตบอลที่โตกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าจึงมีความสำคัญกับผมเสมอ เฉกเช่นนั้นในเวลานี้ผมจึงพยายามที่จะทำตัวเองเป็นแบบอย่างให้แก่เด็กรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตและอยู่ในทีมเดียวกันไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แต่โชคไม่ดีที่บางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น บางคราวความหุนหันพลันแล่นก็เป็นฝ่ายที่ชนะ


“ในตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมต้องทุ่มเทให้หนักที่แคร์ริงตัน เป็นกำลังสนับสนุนให้แก่เพื่อนร่วมทีมของผม และพร้อมสำหรับโอกาสที่จะได้รับในเกมไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเพิ่มแรงกดดันนั้นไม่เคยเป็นทางเลือกสำหรับผมอยู่แล้ว เพราะที่นี่คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน หวังว่าเราจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง 💪🏽🙏🏽

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

สิ่งที่หลายคนสังเกตคือในนี้ไม่มีคำว่า ‘ขอโทษ’ อยู่แม้แต่คำเดียว แต่ก็อยากชวนคิดว่าช่างมันเถอะครับ อย่างน้อยที่สุดโรนัลโดได้บอกถึงสิ่งสำคัญที่เขาตั้งใจที่จะทำหลังจากนี้ซึ่งสำคัญกว่า คือการพร้อมทุ่มเทในการฝึกซ้อม การอดทนรอคอยโอกาส และการสนับสนุนเพื่อนร่วมทีม

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ แล้วคือการที่เขาจำเป็นต้องทบทวนตัวเองอีกครั้ง

 

ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซึ่งเต็มไปด้วยบทวิพากษ์โรนัลโดมากมาย มีบทวิเคราะห์ชิ้นหนึ่งที่ผมชอบและอดพยักหน้าตามด้วยไม่ได้ที่ Eurosport

 

เนื้อหาในบทวิเคราะห์นั้นเป็นการชวน ‘สำรวจสภาพจิตใจ’ ของโรนัลโด โดยยกให้เห็นว่าในฐานะของหนึ่งในสุดยอดนักกีฬาตลอดกาล G.O.A.T. คนที่จะมาเป็นแบบนี้ได้ต้องมีคุณสมบัติที่พิเศษมากกว่าคนอื่นอย่างไร


สิ่งที่โรนัลโด, ลิโอเนล เมสซี, ไทเกอร์ วูดส์, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ หรือ ไมเคิล เฟลป์ส มีเหมือนกันมี 3 อย่างด้วยกันครับ คือ 1. ความสามารถ (Ability) 2. โชค (Luck) และ 3. ความเชื่อมั่น (Belief)

 

โดยเฉพาะอย่างที่ 3 ที่จะเป็นตัวตัดสินความแตกต่างระหว่างสุดยอดนักกีฬากับคนธรรมดาทั่วไป เพราะความเชื่ออันแรงกล้านั้นจะเป็นตัวที่นำพานักกีฬาเหล่านี้ไปสู่จุดที่ไม่มีใครกล้าคิดหรือกล้าฝัน

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

ในหนังสือ ‘เมสซี่ vs. โรนัลโด้: คู่ปรับฟ้าประทาน’ นั้น ในบทนำได้ฉายภาพให้เห็นว่าในงานประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ในปี 2007 โรนัลโดนั้นรู้สึกอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองไม่ได้ด้อยกว่า ริคาร์โด กาก้า เจ้าของรางวัลในปีนั้นเลย (แต่กลับรู้สึกอับอายที่เขาต้องส่งมอบรางวัลที่ 2 ให้แก่ ลิโอเนล เมสซี เพราะ เปเล ยื่นรางวัลให้ผิด)

 

นอกจากนี้ยังมีการเล่าปูมหลังความเป็นมาของโรนัลโด ก็จะเห็นได้ว่าเจ้าเด็กฟันห่างที่เกลียดความพ่ายแพ้ที่สุดคนนี้มีเป้าหมายที่จะเป็น ‘นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลก’ มาโดยตลอด

 

และเพราะอยากจะเป็นให้ได้ โรนัลโดจึงทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อจะไปสู่จุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มเทในการสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่ได้เพิ่งมาเป็นในช่วงที่ย้ายมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือเรอัล มาดริด หากแต่เขาเริ่มมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ในทีมเยาวชนของสปอร์ติง ลิสบอน

 

คนที่บ่มเพาะความเชื่อในแบบนี้จึงเป็นคนที่ ‘หลงตัวเอง’​ เชื่อว่าตัวเองเก่งที่สุด ไม่มีใครทาบได้ หรือหากจะมีใครขึ้นมาท้าทาย คนแบบนี้จะพร้อมหาทางทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เก่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด


สุดยอดนักกีฬาของโลก ต่อให้เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีแบบเฟเดอเรอร์หรือเมสซี (ซึ่งเห็นเงียบๆ แบบนี้ ลึกๆ แล้วทะนงตนยิ่งกว่าใครในโลก) ล้วนมีความเชื่อและชุดความคิดแบบนี้ทั้งนั้น พวกเขาก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ก็เพราะสิ่งนี้

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

อย่างไรก็ดี ในวันที่วันเวลาเริ่มพรากเอาพละกำลัง ความคล่องแคล่วไปจากร่างกาย ความเชื่อตัวเองแบบสุดกู่นี้จึงกลายเป็นสิ่งอันตราย เป็นดาบสองคมที่พร้อมจะกลับมาสร้างรอยแผลให้แก่ตัวเองได้หากไม่รู้จักมองตามความเป็นจริง


โรนัลโดในวัย 37 ปีอาจจะเชื่อว่าเขามีดีพอที่จะยืนหนึ่งเหมือนเดิมได้สบายๆ ไปอีก 3-4 ปี (อย่างที่เจ้าตัวพร่ำบอก) ซึ่งผมเองก็เชื่อว่าในเรื่องของการทำหน้าที่ในกรอบเขตโทษแล้วนั่นไม่ใช่คำถาม สถิติการยิง 24 ประตูในฤดูกาลที่แล้วในทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ชุดที่แย่ที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์คือคำตอบอยู่แล้ว

 

เพียงแต่สิ่งที่เขาประเมินผิดคือการที่เชื่อว่าจะมีสักทีมที่เล่นในระดับแชมเปียนส์ลีกต้องการสุดยอดดาวซัลโวแบบเขาไปร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน


ความผิดพลาดจากความเชื่อนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ โรนัลโดเดินหมากผิดทุกตาหลังจากนั้น

 

  • ไม่รายงานตัวพรีซีซัน
  • ไม่เดินทางร่วมทัวร์
  • ยืนกรานจะย้ายออกจากทีม
  • เดินออกจากสนามในเกมพรีซีซัน
  • แสดงอาการไม่พอใจหลายต่อหลายครั้งระหว่างเกม

 

โดยที่ระหว่างทางมีข่าวโดยตลอดเรื่องของการทำตัวไม่ดีของโรนัลโดภายในทีม ที่สร้างความอึดอัดและทำบรรยากาศเสีย จนมีจุดเปลี่ยนที่มีรายงานข่าวว่าเทน ฮาก ตัดสินใจแล้วว่าจะยอมปล่อยให้ไปก็ได้ หากมีทีมไหนจะรับไปก่อนตลาดซื้อขายจะปิดตัวลง

 

จุดนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายของกุนซือชาวดัตช์กับโรนัลโด ซึ่งเมื่อไม่มีทีมใดมารับตัวไป ‘CR7’ ก็ต้องจำใจอยู่กับทีมต่อไป โดยเทน ฮาก ก็ยังสงวนท่าทีด้วยการยืนยันว่าเขาอยู่ในแผนการทำทีม

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโรนัลโดจะยังเป็นเบอร์หนึ่งเหมือนเดิม ซึ่งเทน ฮาก ก็แสดงออกผ่านการกระทำแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นแม้แต่เบอร์สองด้วยซ้ำไป

 

ในขณะที่โรนัลโดยังหลงไปกับเงาของตัวเองไม่ต่างอะไรจากนาร์ซิสซัส เทพผู้มีรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ถูกเทวีอะโฟรไดต์สาปให้หลงตัวเองจนตายเพราะไปสร้างความอับอายให้แก่นางไม้เอ็กโคเข้า จนสุดท้ายเมื่อก้มดื่มน้ำในบ่อน้ำจึงเกิดหลงใหลในเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในผิวน้ำ ไม่เป็นอันกินอันนอนก่อนจะสิ้นใจอยู่ข้างบ่อน้ำนั้น

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวันสองวันนี้อาจจะกระตุกสำนึกของโรนัลโดให้กลับมาได้

 

มันมี ‘ความจริง’ บางอย่างที่เขาต้องยอมรับให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาไม่ใช่เบอร์หนึ่งของทีมอีกต่อไปแล้ว (ซึ่งไม่ได้แปลว่าคนอื่นเก่งกว่า แต่แค่ทีมนั้นดีกว่าเมื่อไม่มีเขาอยู่) และไม่มีอนาคตสำหรับเขาเหลืออยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดอีกแล้ว

 

หากเขายอมรับได้จริงดังถ้อยแถลงที่ส่งถึงทุกคน มันยังพอมีโอกาสที่ฉากจบของเขาที่โรงละครแห่งความฝันจะงดงามอย่างที่มันควรจะเป็นจริงๆ


เป็นการอำลาของ ‘ฮีโร่’ ที่เขาสมควรจะได้รับจากแฟนๆ

 

แต่หากโรนัลโดไม่ได้คิดแบบนั้นและยังทำตัวไม่ดีต่อไป ไม่มีใครกล้าการันตีได้ว่าคำขอโทษผ่านโซเชียลมีเดียของเขาจะได้รับการให้อภัยจากทุกคนอีก

 

ฉากจบของโรนัลโดกับแมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นอย่างไร คนที่จะเขียนบทนั้นไม่ใช่ใครอื่น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องตัดสินใจ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising