×

‘รุกล้ำ-ปะทะ-ฟ้องศาลโลก’ สรุปไทม์ไลน์วิกฤตตึงเครียด ไทย-กัมพูชา

06.06.2025
  • LOADING...
ทหารไทยลาดตระเวนแนวชายแดนช่องบก ขณะเกิดความตึงเครียดกับทหารกัมพูชา

ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นจากเสียงปืนของทหารทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้อุณหภูมิความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีแนวชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กิโลเมตร ร้อนระอุ และตึงเครียดมากที่สุดในรอบหลายปี โดยไม่มีท่าทีจะดับลงได้ง่ายๆ 

 

ฝ่ายกัมพูชา ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างหลักในการเสนอแผนแก้ไขความขัดแย้งด้วยการยื่นเรื่องให้ศาลโลกพิจารณา ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องออกมาตอบโต้ และยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 1960

 

ชนวนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร สถานการณ์จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน จะปิดด่าน หรือเกิดสงครามหรือไม่ และอะไรคือแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งของรัฐบาลไทยและกัมพูชา

 

นี่คือสิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้

 

เกิดอะไรที่ช่องบก?

 

เสียงปืนจากการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ดังขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในบริเวณพื้นที่ช่องบก ซึ่งเป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยอยู่ในเขตสามเหลี่ยมมรกต พื้นที่รอยต่อระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย-ลาว-กัมพูชา 

 

ไทม์ไลน์ของสถานการณ์ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เวลา 05.30 น. โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่ามีทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง จึงมีการจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางปฏิบัติแบบที่เคยทำมา

 

ต่อมาในเวลา 05.45 น.ทหารไทยได้เดินทางไปถึงพื้นที่ และทำการลาดตระเวนพบการขุดคูเลต หรือแนวคูสนามเพลาะที่ขุดลึกลงไปในพื้นดินเพื่อป้องกันการโจมตี ยาวกว่า 650 เมตร โดยถือเป็นการละเมิดข้อตกลงเดิมที่ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่โดยพลการ ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าขึ้น ก่อนจะมีการยิงปะทะกันราว 10 นาที 

 

จากนั้น เวลา 05.55 น. พล.ต. ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติการปะทะ ก่อนจะตกลงหยุดยิง และตรึงกำลังในบริเวณจุดปะทะ

 

ภายหลังเกิดเหตุ กระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันว่า มีทหารเสียชีวิตจากการปะทะ 1 นาย และกล่าวหาทหารไทยว่าเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ส่วนฝ่ายไทยไม่มีทหารเสียชีวิต 

 

ด้าน พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ทหารไทยไม่ได้เปิดฉากโจมตีก่อน แต่เป็นเพียงการยิงแจ้งเตือนให้หยุดการกระทำ ไม่ใช่การยิงปะทะ และยืนยันว่า ยังคงยึดตามข้อตกลงเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

 

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้ส่งหนังสือประท้วงเหตุปะทะที่เกิดขึ้น ผ่านสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ในวันที่ 2 มิถุนายน โดยยืนยันคำกล่าวอ้างว่าทหารไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน และเรียกร้องให้สอบสวนหาตัวคนผิด

 

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็ได้ยื่นหนังสือประท้วงตอบโต้ไปยังรัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน โดยยืนยันว่า การดำเนินการของทหารไทยนั้นอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการยืนยันอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และปฏิบัติตามหลักสากลอย่างครบถ้วน 

 

สัญญาณตึงเครียดตั้งแต่ต้นปี

 

การปะทะดังกล่าว เกิดขึ้นหลังปรากฏสัญญาณความผิดปกติในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลายครั้งนับตั้งแต่ช่วงต้นปี

 

โดยการขุดคูเลตในพื้นที่ช่องบกก็ไม่ใช่ครั้งแรก และเคยปรากฏเป็นข่าวมาแล้วตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพของทหารกัมพูชา รุกล้ำพื้นที่เนิน 745 ในช่องบก และมีการขุดคูเลตเตรียมตั้งฐาน พร้อมเสริมกำลังทหารอาวุธครบมือเกือบร้อยนาย 

 

ก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ยังเคยปรากฏกรณีที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ หลังทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แต่ทหารไทยไม่ยอมจึงมีการโต้เถียงกัน 

 

โดย พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันหนักแน่น ว่าปราสาทตาเมือนธม อยู่ในดินแดนของไทย แต่พื้นที่นั้นคาบเกี่ยวกับพื้นที่ที่ยังปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ และฝ่ายไทย อนุโลมให้กัมพูชาขึ้นมาสักการบูชาได้ แต่ต้องไม่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใดๆ ซึ่งทางกองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้ว

 

หยุดยิง แต่กัมพูชาไม่ถอนกำลัง

 

วันที่ 29 พฤษภาคม หรือ 1 วันหลังการปะทะที่ช่องบก พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และคณะ ได้เดินทางไปยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเจรจากับพลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น 

 

ภายหลังการเจรจา แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงให้ถอนกำลังไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมฝ่ายละ 200 เมตร เพื่อรอการประชุมแก้ปัญหาผ่านกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) 

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่แถลงการณ์ ระบุผลการเจรจา โดยมีเนื้อหาส่วนใหญ่ตรงกับไทย ยกเว้นการถอนกำลังทหารออกจากจุดที่เกิดการปะทะ เนื่องจากอ้างว่า ฝ่ายกัมพูชามีทหารประจำการในจุดดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการวัด และกำหนดเขตแดนทางบก ระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อปี พ.ศ. 2543 (MOU43)

 

ด้านสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ช่วงกลางดึกของวันที่ 30 พฤษภาคม ยืนยันว่า พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย นั้นเป็นดินแดนของกัมพูชา และยืนยันว่าจะไม่ถอนทหารออกจากจุดปะทะที่ช่องบก โดยอ้างว่ามีกองทัพกัมพูชาประจำการมาตั้งแต่ก่อนทำข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) ปี 1973 และราว 13-14 ปีก่อนที่จะมี MOU43 และชี้ว่า UNTAC (องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา) สามารถเป็นพยานได้ 

 

นอกจากนี้เขายังอ้างว่า มีข้อพิสูจน์ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา จากรูปถ่ายมากมายของเขาและภรรยา ที่แต่งชุดทหารไปเยือนที่สามเหลี่ยมมรกตเมื่อ 15 ปีก่อน 

 

“รูปถ่ายมากมายของผม, ภรรยา และเพื่อนร่วมงานที่เคยไปเยือนที่นั่นเมื่อกว่า 15 ปีก่อน เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า นี่เป็นดินแดนของกัมพูชา ไม่มีทางที่ผมจะแต่งชุดทหารแล้วเข้าไปถ่ายรูปในดินแดนไทยหรือลาวในพื้นที่แถบนั้นได้” ฮุนเซน กล่าว

 

กัมพูชา หนุนส่งศาลโลกตัดสิน

 

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน แสดงท่าทีต่อเนื่อง ต่อกรณีการปะทะที่เกิดขึ้น โดยนอกจากการแสดงความเสียใจต่อทหารที่เสียชีวิต และสนับสนุนการเจรจาแก้ไขปัญหากับฝ่ายไทย ทั้งสองผู้นำยังพยายามเสนอให้นำประเด็นข้อพิพาทนี้ เข้าสู่การพิจารณาตัดสินในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) หรือศาลโลก 

 

ขณะที่รัฐสภากัมพูชา ตอบรับท่าทีของผู้นำ ในการลงมติด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ให้ส่ง​​เรื่องพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย กับพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตไปยังศาลโลก ที่กรุงเฮก เพื่อให้มีการพิจารณาตัดสินอย่างเป็นทางการ

 

อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทย ออกแถลงการณ์ วานนี้ (5 มิถุนายน) ตอบโต้ความพยายามนำประเด็นพิพาทเข้าสู่ศาลโลก โดยยืนยันว่า ไทยประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของศาลโลก มาตั้งแต่ปี 1960 จนถึงปัจจุบัน และทั้ง 2 ฝ่ายยังมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว

 

กลไก JBC ความหวังแก้ปัญหา?

 

จนถึงวันนี้ รัฐบาลไทยยังคงเน้นย้ำการมุ่งแก้ไขปัญหาพิพาทที่เกิดขึ้นโดยสันติวิธี ท่ามกลางกระแสกดดันจากฝ่ายกองทัพและประชาชนไม่น้อยที่สนับสนุนให้เพิ่มการแสดงท่าทีตอบโต้กัมพูชา เช่น การปิดด่านพรมแดน หรือตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และงดส่งน้ำมันข้ามชายแดน เพื่อกดดันทั้งฝ่ายกัมพูชาและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ที่มีฐานจำนวนมากอยู่ในกัมพูชา

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการฉบับแรกต่อสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่รวมถึง JBC ในการแก้ไขปัญหา

 

ขณะที่กัมพูชายืนยันว่า จะไม่รวมเอาประเด็นพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ที่ยื่นฟ้องต่อศาลโลก บรรจุในวาระการประชุม JBC ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ 

 

ด้าน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดคุยกับ พล.อ. เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ค่ายสุรสิงหนาท อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว วานนี้ โดยตกลงที่จะลดบรรยากาศความตึงเครียด พร้อมทั้งคงการสื่อสาร และการเจรจาอย่างสันติ แต่ฝ่ายกัมพูชา ยังยืนกรานปฏิเสธที่จะตอบรับคำขอให้ถอนทหารออกจากจุดปะทะที่ช่องบก

 

ถก สมช. เตรียมรับมือ

 

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (6 มิถุนายน) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่ง พร้อมตัวแทนเหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้อง ยังได้ร่วมประชุมแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการประชุมและพูดคุยกันเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และยืนยันว่ากองทัพและรัฐบาล รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ปรึกษากันก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใดๆ

 

ขณะที่ภูมิธรรมกล่าวว่า การประชุมแก้ปัญหาตอนนี้ เป็นไปบนหลักการที่ไทยต้องปกป้องอธิปไตยของประเทศ และดำรงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยยึดหลักสำคัญ 3 ด้าน คือ ด้านต่างประเทศ ด้านกองทัพ และด้านการสื่อสาร พร้อมยืนยันว่า “กองทัพไทย พร้อมรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศ และดุลยภาพเหนือดินแดน”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising