×

Credit Suisse อัปเดต ‘6 ซูเปอร์เทรนด์’ ปี 2022 ช่วยคัดกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว

05.05.2022
  • LOADING...
Credit Suisse

หลังจากที่ Credit Suisse จัดทำรายงานเกี่ยวกับ Supertrends เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2017 มาในปีนี้ บริษัทได้เผยแพร่ Supertrends 2022 ซึ่งระบุถึงเทรนด์ของธุรกิจที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มเทรนด์การลงทุน ได้แก่ 

 

  1. สังคมแห่งความวิตก (Anxious Society)
  2. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) 
  3. เทคโนโลยี (Technology) 
  4. ผู้สูงวัย (Silver Economy)
  5. ยุคมิลเลนเนียล (Millennials’ Values) 
  6. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change)

 

Michael Strobaek, Global Chief Investment Officer ของ Credit Suisse กล่าวว่า พวกเราออกแบบ Supertrends ให้อยู่นอกเหนือจากวัฏจักรทางธุรกิจเพื่อแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเลือกหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว แม้ว่าปัจจัยระยะสั้นบางอย่างอาจจะส่งผลบวกต่อบางเทรนด์มากกว่าเทรนด์ที่เหลือ แต่เราอยากให้นักลงทุนมองข้ามอารมณ์และความผันผวนในระยะสั้น

 

เทรนด์ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอาจได้แรงหนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในปี 2021 เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศต่างหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ อย่างที่เราเห็นได้จากการประชุม COP26 

 

ด้าน Nannette Hechler-Fayd’herbe, Head of Global Economics and Research ของ Credit Suisse กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญในระยะสั้นที่กระทบต่อการลงทุน อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิด Stagflation ในยุโรปโดยตรง แต่กระทบจำกัดต่อสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชีย 

 

นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อต่ำไปสู่เงินเฟ้อสูงมักจะส่งผลให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง ทั้งส่วนของการลงทุนในหุ้นและบอนด์ 

 

อย่างไรก็ตาม หากมองภาพการลงทุนในระยะยาว Credit Suisse เชื่อว่าบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับเทรนด์ทั้ง 6 ส่วนนี้ มีแนวโน้มจะเติบโตได้ในระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

  • สังคมแห่งความวิตก (Anxious Society) ปัจจุบันความกังวลของผู้คนเปลี่ยนจากเรื่องของโควิดมาเป็นเรื่องของปากท้องและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ส่วนนี้ทำให้ผู้คนจะยอมจ่ายมากขึ้นให้กับธุรกิจที่สามารถแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ โดยเฉพาะบริษัทที่นำเสนอทางออกที่ช่วยลดต้นทุนเกี่ยวกับความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การศึกษา โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อกำลังซ้ำเติมให้ต้นทุนแพงขึ้น 

 

  • โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในปี 2022 ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ จากการที่รัฐบาลของแต่ละประเทศได้เริ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น การขนส่ง พลังงาน เมืองอัจฉริยะ โทรคมนาคม และแม้ว่าเงินเฟ้อจะกระทบต่อธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ แต่หลายบริษัทที่ลงทุนด้านขนส่ง พลังงาน และโทรคมนาคม มีสัญญาที่สามารถปรับตามเงินเฟ้อได้ 

 

  • เทคโนโลยี (Technology) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 หุ้นเทคโนโลยีถูกให้มูลค่าใหม่สะท้อนเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นของโลก และด้วยการเติบโตสูงในช่วงโควิดไม่ได้เป็นสิ่งที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยียังมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น การมาของ Metaverse รวมไปถึงการลงทุนในดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในโลกเสมือน

 

  • เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) จำนวนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็นกว่า 2 พันล้านคน ในปี 2050 การเปลี่ยนแปลงนี้จะก่อให้เกิดความต้องการเฉพาะทางในด้านเฮลท์แคร์ ประกัน และอสังหาริมทรัพย์ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพแล้ว เศรษฐกิจผู้สูงวัยยังส่งผลบวกต่อธุรกิจการเงิน ซึ่งจะได้ประโยชน์จากเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น 

 

  • ยุคมิลเลนเนียล (Millennials’ Values) กลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะผสมผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกในชีวิตจริงมากขึ้น และจากงานวิจัยล่าสุดพบว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ยังคงให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และมีความต้องการที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประเด็นเหล่านี้จะเป็นบวกต่อผู้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในด้านต่างๆ เช่น การช้อปปิ้ง โฆษณา สื่อ

 

  • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานในระยะสั้นส่งผลให้การพึ่งพิงพลังงานฟอสซิลของโลกลดลง ปัจจัยนี้ส่งผลบวกต่อธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงธุรกิจที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ธุรกิจที่พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับความยั่งยืนในการผลิตอาหารจะได้รับความสนใจมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ Credit Suisse ยังได้เปิดเผยถึง Supertrends ในเอเชีย โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 

 

  1. ความยั่งยืนในจีน จากเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2060 ส่งผลให้การเติบโตของกำลังการผลิตของพลังงานโซลาร์และพลังงานลมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องระหว่างปี 2021-2025 โดยคาดเติบโต 29% และ 8% ตามลำดับ นอกจากนี้จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยคิดเป็น 40% ของยอดขายทั่วโลก 

 

  1. การเติบโตของผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล โดยประเมินว่าแบรนด์ของสินค้าจีนจะได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่องจากปีเทรนด์การเติบโตที่ผ่านมา โดยส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 29% เมื่อปี 2013 มาเป็น 32-33% ในปี 2019 นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลในจีนมีจำนวนกว่า 400 ล้านคน คิดเป็น 29% ของประชากรโลก 

 

  1. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ล่าสุดจีนประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะทยอยลงทุนในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ โดยครอบคลุมในหลายส่วน ได้แก่ ถนน ทางรถไฟ โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และสวนสนุก นอกจากนี้จีนยังได้ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลตั้งแต่ปี 2020 ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising