×

เครดิตบูโร แนะทบทวนเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 25% ห่วงดอกเบี้ยสูงไป ‘ทางเสื่อมบ้านเมือง’

11.09.2025
  • LOADING...

เครดิตบูโร ตั้งคำถามถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 25% ในปัจจุบัน โดยชี้ว่าขัดแย้งกับปรัชญาของกฎหมายห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเมื่อปี 2475 ที่ระบุว่า การเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินควรเป็น ‘ทางเสื่อมประโยชน์ของบ้านเมือง’ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีเพียงธุรกิจผิดกฎหมายเท่านั้นที่อาจทำกำไรได้ในระดับนี้

 

วันนี้ (11 กันยายน) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง ‘เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย’ ซึ่งจัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 

โดยระบุว่า “เมื่อปี 2475 ไทยมีการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ และมีการออก ‘พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475’ ซึ่งวิสัยทัศน์ของคนในสมัยนั้นเขียนไว้ค่อนข้างดี โดยระบุว่า การให้กู้ยืมเงินโดยอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควรนั้น ย่อมเป็นทางเสื่อมประโยชน์ของบ้านเมือง”

 

สุรพล กล่าวอีกว่า แม้ในปัจจุบัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะระบุห้ามเรียกดอกเบี้ยเกิน 15% แต่ก็มีกฎหมายเฉพาะที่อนุญาตให้สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้เกินกว่าอัตราดังกล่าว

 

“ผมจึงตั้งคำถามว่า อัตราดอกเบี้ยของเราวันนี้ ก่อให้เกิดทางเสื่อมต่อบ้านเมืองหรือไม่ อัตราดอกเบี้ย 25% เอาไปทำธุรกิจ มันมีธุรกิจอะไรนอกจากธุรกิจผิดกฎหมายที่จะทำกำไรได้ขนาดนี้ ผมตั้งคำถามกับผู้กำกับดูแลนโยบาย (Regulator) ที่ดูแลเรื่องนี้ เราทำอะไรอยู่” สุรพลกล่าว

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไทยได้มีการปรับปรุง กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูง จากพ.ศ.2475 มาใช้ ‘พ.ร.บ.ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560’ โดยเพิ่มโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สุรพลยังชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่มี ‘วาทกรรม’ และปัจจัยอื่นๆ ที่ผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้

 

เปิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อต่างๆ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด

 

  1. สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (P-Loan) ที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน เมื่อคำนวณรวมกัน อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective rate) ต้องไม่เกิน 25% ต่อปี ที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ต้องไม่เกิน 24% ต่อปี
  2. สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance) เมื่อคำนวณรวมกันแล้วแบบลดต้นลดดอก (Effective rate) ต้องไม่เกิน 33% ต่อปี
  3. บัตรเครดิต (Credit Card) เมื่อคำนวณรวมกันแล้ว อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective rate) ต้องไม่เกิน 16% ต่อปี
  4. สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามข้อ 1, 2, และ 3 การคิดอัตราดอกเบี้ยจะต้องเป็นไปตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมาตรา 654 บัญญัติห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี

 

นอกจากนี้ สุรพลยังได้กล่าวถึง ‘ความเหลื่อมล้ำในระบบสินเชื่อ’ ที่อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยหรือกลุ่มฟรีแลนซ์ต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่า โดยอ้างอิงการวิเคราะห์ข้อมูลจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ที่ระบุว่า ธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งผิดนัดชำระมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยกลุ่มธุรกิจขนาด Super Micro มีหนี้เสีย (NPL)ในสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ขณะที่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Large) มีหนี้เสีย (NPL) ในสัดส่วน 1.37% ของสินเชื่อรวม

 

พร้อมทั้งมองว่า ในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อปัจจุบัน มีความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล (Data) อยู่ จนทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการอนุมัติสินเชื่อ ทำให้ “คนที่ไม่ควรได้ดันได้ คนที่ควรจะได้ดันไม่ได้”

 

นอกจากนี้ การที่ไม่รู้จักลูกค้าบางกลุ่ม ทำให้ถูกมองว่าเสี่ยงและถูกคิดดอกเบี้ยแพง สุรพลจึงย้ำว่า ข้อมูลเหล่านี้ควรเป็น ‘สาธารณสมบัติ’ (Public Good) เพื่อให้นักวิจัยเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในการหาทางออกสำหรับปัญหาต่างๆ

 

ขณะที่ ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 25% ต่อปีเป็นเพดานสูงสุดของสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายย่อยกู้ในผลิตภัณฑ์ที่มันไม่มีหลักประกัน ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวต้องครอบคลุมหลายส่วน เช่น ต้นทุนการระดมทุน (Funding Cost) ไปจนถึงค่าใช้จ่ายด้านการติดตามตัวลูกหนี้ ดังนั้น จึงต้องมีกฎเกณฑ์เฉพาะที่ใช้สำหรับสินเชื่อผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคล

 

ดร. กาญจนา ยังมองว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 25% ต่อปีของธปท. มาจากการพิจารณาบริบทของประเทศไทยอย่างดีแล้ว พร้อมอธิบายต่อว่า ลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลทุกรายไม่ได้โดนอัตราดอกเบี้ยที่ 25% ต่อปี โดยธนาคารและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non Bank) แต่ละแห่งอาจจะเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราเพดานให้ลูกค้าได้ตามประวัติเครดิต (Credit Profile) เช่น ลูกค้าที่มีภาระหนี้ต่อรายได้เดิมไม่ได้สูง หรือลูกค้าที่มีฐานรายได้สูง

 

นอกจากนี้ ดร. กาญจนา ยังมองว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย (Risk-based Pricing) ซึ่งปัจจุบัน อยู่ระหว่างการทดสอบใน Sandbox จะเป็นกลไกในการดึงอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงได้ นอกจากนี้ การมีข้อมูล (Data) ที่มากขึ้นก็จะช่วยให้สามารถกำหนดราคาดอกเบี้ยได้แม่นยำขึ้นแบบกรณีต่อกรณี (case by case) ด้วย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising