เกิดอะไรขึ้น:
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงปัจจุบัน (3Q65TD) ยอดขายสาขา (SSS) ของ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) น่าจะเติบโตสูงกว่า 50%YoY (เทียบกับ 25%YoY ใน 2Q65) ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ โดยเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ จากฐานต่ำของปีก่อนที่มีสาเหตุมาจากการล็อกดาวน์ (ปิดร้านค้าและพื้นที่ขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและลดชั่วโมงทำการของร้านค้า) ในประเทศไทยและเวียดนาม (94% ของยอดขาย) (แต่ฐานปกติในอิตาลี)
เมื่อแยกตามกลุ่มธุรกิจ SSS มีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงกว่า 100%YoY ในกลุ่มแฟชั่น, 30% ในกลุ่มฮาร์ดไลน์ และ 20% ในกลุ่มฟู้ด เนื่องจากยอดขายปลีกใน 3Q65TD เพิ่มขึ้น QoQ ในทุกประเทศ CRC จึงยังไม่เห็นผลกระทบใดๆ ต่อกำลังซื้อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กูรูต่างประเทศมอง ธปท. กำลังเดิมพันดอกเบี้ยกับ เงินเฟ้อ ชี้นโยบายการเงินไทยมองโลกในแง่ดีเกินไป
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
สำหรับในปี 2565 CRC คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตมากกว่า 20%YoY โดยเกิดจากยอดขายปลีกและรายได้จากการให้เช่าที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยอดขายปลีกมีแนวโน้มฟื้นตัว หลักๆ เกิดจากยอดขายกลุ่มแฟชั่นที่แข็งแกร่งจากฐานต่ำที่มีสาเหตุมาจากสถานการณ์โควิด และการขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจใน 2H65
ขณะที่รายได้จากการให้เช่าจะฟื้นตัวจากการวางแผนให้ส่วนลดค่าเช่าลดลงสู่ตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงกลางในช่วงปลายปี 2565 (เทียบกับตัวเลขสองหลักใน 1H65 และสูงกว่า 20% ในปี 2564 เพราะไม่มีการล็อกดาวน์ และหลังจากรัฐบาลเวียดนามยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด (เปิดทุกธุรกิจในพื้นที่ให้เช่าได้อย่างเต็มรูปแบบ) ในเดือนพฤษภาคม 2565) และอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูงขึ้น
ด้านยอดขายผ่าน Omni Channel CRC คาดว่าสัดส่วนยอดขายผ่าน Omni Channel ต่อยอดขายปลีกทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นสู่ 20% ในปี 2565 (เทียบกับ 18% ใน 1H65) และสูงกว่า 25% ใน 5 ปีข้างหน้า
ช่องทางออนไลน์ทุกช่องทางของบริษัทสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ปี 2564 โดยเกิดจากยอดขายที่สูงขึ้น การนำเสนอสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูงมากขึ้น และการจัดการโปรโมชันได้ดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานและเพิ่มยอดขาย CRC จึงวางแผนอัปเกรดคุณสมบัติและกระบวนการชำระเงินในแอปพลิเคชัน Central, Tops, Supersports และ Powerbuy ใน 4Q65
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจค้าปลีก CRC คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565 จะขยายตัว 130-150bpsYoY โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มแฟชั่นจากการฟื้นตัวของยอดขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง และการปรับส่วนลดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมกับผลกระทบที่มีจำกัดจากการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคา เนื่องจากยอดขายกลุ่มแฟชั่นส่วนใหญ่เกิดจากการขายสินค้าประเภทฝากขาย (ซัพพลายเออร์เป็นผู้รับผิดชอบจัดการสินค้าและสินค้าคงคลัง)
นอกจากนี้ CRC ตั้งเป้าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายในปี 2565 ที่ระดับต่ำกว่า 28% (เทียบกับ 29% ในปี 2564 และ 27% ใน 1H65) โดยจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากต้นทุนด้านโลจิสติกส์และค่าสาธารณูปโภค (2.6% ของยอดขาย) ที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากประสิทธิภาพพนักงานและการตลาดที่ดีขึ้น
และการวางแผนประหยัดต้นทุนพลังงานและโลจิสติกส์มากขึ้น เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, ใช้รถบรรทุก EV และล็อกต้นทุนค่าสาธารณูปโภคในอิตาลีจนถึงสิ้นปี 2565 ขณะที่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในไทย CRC คาดว่าจะส่งผลทำให้ต้นทุนพนักงานของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 50 ล้านบาทต่อปี (0.6% ของประมาณการกำไรปี 2566 ของ InnovestX Research)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CRC ปรับตัวลดลง 2.52%MoM อยู่ที่ระดับ 38.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.59%MoM สู่ระดับ 1,635.47 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
InnovestX Research คาดว่าผลประกอบการ 3Q65 จะฟื้นตัว YoY กลับมามีกำไร จากขาดทุนใน 3Q64 ด้วยยอดขายปลีกและรายได้จากการให้เช่าที่ฟื้นตัว และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับการล็อกดาวน์ในปีก่อน แต่จะอ่อนตัวลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
อย่างไรก็ดี ปี 2565 คาดว่าจะรายงานกำไรเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ โดยคาดการณ์กำไรปกติที่ 6.3 พันล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 190 ล้านบาทในปี 2564 โดยได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP