Crash Landing on You เป็นซีรีส์ที่น่าติดตามตั้งแต่ประกาศสร้าง เพราะได้นักแสดงระดับแม่เหล็กอย่าง ซนเยจินและฮยอนบิน มาร่วมงานกันอีกครั้ง อีกทั้งยังยืนอยู่บนพล็อตความรักข้ามพรมแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ซึ่งเย้ายวนว่าจะทำออกมาได้ดีงามขนาดไหน
เมื่อออกอากาศในตอนแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2019 กระแสตอบรับก็เป็นไปในทางบวกทันที เรตติ้งรับชมในโซล ประเทศเกาหลีใต้ สัปดาห์แรกอยู่ที่ 6.5% และไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ โดยในสัปดาห์ล่าสุดที่ออกอากาศ (19 มกราคม 2020) ซีรีส์ขึ้นไปแตะเลขสูงสุด ทำเรตติ้ง 15.9% ด้วยสถิตินี้ทำให้ Crash Landing on You ขึ้นไปอยู่อันดับ 5 ของซีรีส์เกาหลีช่องเคเบิลที่มีเรตติ้งสูงสุดตลอดกาล (รองจาก Sky Castle (2019), Reply 1988 (2016), Guardian: The Lonely and Great God (2017) และ Mr. Sunshine (2018)) ซึ่งเป็นไปได้แน่นอนว่าจะไต่อันดับสูงขึ้นไปอีก เพราะยังเหลืออีกหลายสัปดาห์ก่อนจะถึงตอนอวสาน
THE STANDARD ชวนคุณมาวิเคราะห์ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Crash Landing on You กลายเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค และทำให้ใครต่อใครบ่นทั่วไทม์ไลน์ทุกครั้งที่ซีรีส์เลื่อนออกอากาศ!
ซนเยจิน กับการรับบท ยุนเซรี
นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่เราได้เห็นซนเยจินในบททายาทมหาเศรษฐี ผู้หญิงเก่ง มั่นใจในตัวเอง เป็นเจ้าของบริษัทด้านแฟชั่น ซึ่งทำให้เราได้เห็นเธอแต่งตัวสวยเฉียบ ต่างจากบทส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ที่จะออกไปทางเศร้าและร้องไห้อยู่บ่อยๆ จริงอยู่ที่ในเรื่อง Crash Landing on You เธอร้องไห้บ่อยเช่นกัน แต่ก็มีมุมร่าเริง สดใส สนุกสนานผสมผสานอยู่เท่าๆ กัน ที่น่าสนใจคือหลายครั้งที่บทยุนเซรีดูจะน่าหมั่นไส้จากความมั่นใจในตัวเองเกินเหตุ แต่เมื่ออยู่ภายใต้การแสดงของซนเยจิน มันกลับกลายเป็นว่าคนดูเข้าใจได้ว่าทำไมตัวละครจึงเป็นแบบนั้น และยิ่งดูจะยิ่งหลงรักแบบเดียวกับที่สหายหญิงประจำหมู่บ้านทหารค่อยๆ กลายเป็นพวกเดียวกับเธอนั่นล่ะ
การเข้าถึงบทบาทยังรวมถึงการที่ซนเยจินพยายามทำให้ทรงผมและหน้าตาเป็นธรรมชาติที่สุดในฉากที่อยู่ในเกาหลีเหนือ ช่างแต่งหน้าทำผมของเธอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Allure ว่าซนเยจินแทบจะไม่ได้แต่งหน้าเลยในฉากที่อยู่เกาหลีเหนือ ไม่ปัดแก้ม อายแชโดว์ มาสคาร่า หรือเขียนคิ้ว เพราะเธออยากให้ตัวละครเป็นธรรมชาติที่สุด และทรงผมหางม้าหรือมวยผมที่เราเห็นก็เป็นซนเยจินที่ทำเอง เพื่อให้เหมือนเธออยู่ที่นั่นด้วยตัวเองจริงๆ
ซนเยจินให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า “การแสดงเป็นเรื่องซับซ้อน… เพราะฉะนั้นความราบรื่นหรือความง่ายในการทำงานเกิดขึ้นจากการที่เราคุยกัน แชร์ไอเดียกัน สร้างคาแรกเตอร์รีจองฮยอกกับยุนเซรีขึ้นมาด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่มีครบทุกรสชาติและทุกอารมณ์ของการแสดง ที่ทำให้พวกเราต้องคิดหนักเพราะมีพาร์ตที่ต้องใช้การแสดงที่ทั้งลึกและกว้างมากขึ้น”
อ่านต่อ คุยกับ ฮยอนบิน-ซนเยจิน เรื่องพลังแห่งรักที่ทำลายความแตกต่างในซีรีส์ ‘Crash Landing on You’ https://thestandard.co/crash-landing-on-you-3/
สี่สหายพลทหาร หน่วยเสริมความสำเร็จ
พี่มาก..พระโขนง ทำรายได้แตะพันล้าน ส่วนสำคัญก็เพราะแก๊งเพื่อนพี่มาก หรือละคร ผู้กองยอดรัก เหล่าเพื่อนทหารเกณฑ์ก็คือหนึ่งในสีสันที่เติมเต็มเรื่องราว เช่นเดียวกัน สหายพลทหารคนสนิทประจำหน่วยของผู้กองรีจองฮยอกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการวางคาแรกเตอร์หลากหลายเข้าไว้อย่างลงตัว พโยชิซู รุ่นพี่พลทหารที่ไม่ถูกชะตากับยุนเซรี แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความน่ารักของเธอ, กึมอึนดง พลทหารอายุน้อยที่สุด ใสซื่อที่สุด, คิมจูม็อก พลทหารที่ชอบแอบดูซีรีส์เกาหลีใต้จนทำให้คุ้นเคยกับศัพท์ใหม่ๆ รู้จักมินิฮาร์ท, และสหายพลทหารพัคกวางบอม หน้าตาดีจนได้รับรางวัลนายทหารเกาหลีเหนือที่หล่อที่สุดในกลุ่มจากยุนเซรี
พลทหารเกาหลีเหนือเหล่านี้สะท้อนความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ต่างมีสุขทุกข์ซ่อนไว้ภายใต้เครื่องแบบที่เข้มแข็ง จะเห็นได้จากความยินดีที่ได้ปลดประจำการจากแนวหน้าในช่วงอากาศหนาวเหน็บ มีความสุขกับชีวิตง่ายๆ การกินอาหารอร่อยๆ และยอมเสียสละเพื่อคนที่เคารพรักอยู่เสมอ ที่สำคัญคือความที่เติบโตในประเทศปิด ทำให้แม้ความเป็นอยู่จะยากลำบาก ไม่ทันสมัยนัก แต่ส่วนหนึ่งก็ทำให้จิตใจของพวกเขายังคงใสซื่อ มองโลกในแง่ดีมากกว่าคนในเมืองใหญ่ คนดูจะรู้สึกเป็นมิตรกับพวกเขาได้ไม่ยาก
ฮยอนบิน กับบทนายทหารเกาหลีเหนือผู้สร้างปรากฏการณ์ ‘สหายผู้กอง’
ฮยอนบินรับบทนายทหารมาหลายครั้ง รับบทแอ็กชันก็หลายหน เพราะฉะนั้นเรื่องการรับบทนายทหารไม่ได้เกินความสามารถของเขาอยู่แล้ว แต่การรับบทนายทหารเกาหลีเหนือทำให้เขาต้องไปเรียนการออกสำเนียงภาษาเกาหลีเหนืออยู่ 2-3 เดือน ซึ่งในซีรีส์จะเห็นว่าทั้งฮยอนบินและนักแสดงที่รับบทเป็นคนเกาหลีเหนือจะมีสำเนียงที่แตกต่างออกไป
บทรีจองฮยอกมีมิติหลากหลาย ทั้งการเป็นนักเปียโนในตอนเริ่มต้น (ฮยอนบินไปเรียนเปียโนเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน) ความโศกเศร้าจากการสูญเสียพี่ชาย ความห่างเหินกับครอบครัว การมีชีวิตในกรอบระเบียบที่ต้องทำตามหน้าที่ ไปจนถึงมุมที่โรแมนติก คอยห่วงใยยุนเซรี ที่ทำให้เราเห็นการแสดงของฮยอนบินที่กว้างมาก แต่เขาทำได้ดี โดยเฉพาะสายตาที่สื่อสารออกมาชัดเจนในความต้องการดูแลปกป้องผู้หญิงที่รัก จนทำให้เกิดปรากฏการณ์หลงรักสหายผู้กองเต็มไทม์ไลน์ทุกครั้งที่ซีรีส์ออกอากาศ
ฮยอนบินให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า “เวลาถ่ายทำจริงๆ จะมีหลายครั้งที่เราต้องเปลี่ยนการแสดงให้ไม่เหมือนกับที่เตรียมกันเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความคิดของผู้กำกับ รวมทั้งความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ สถานการณ์ตรงนั้นจริงๆ เราต้องตัดสินใจในทันทีว่าจะตอบรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งในสถานการณ์แบบนั้นจะเหมือนว่าเราไม่ได้แสดงอยู่ แต่เป็นการตัดสินใจของตัวละครที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกของเราจริงๆ เป็นความรู้สึกสดๆ ของเราตอนนั้นที่สื่อสารออกมา”
บทดี กำกับเก่ง พลิกไปสู่ทุกอารมณ์ในเรื่องเดียว
อีจองฮโย ผู้กำกับซีรีส์เรื่องนี้ เป็นเจ้าของเดียวกับ Romance is a Bonus Book (2019), Life on Mars (2018), The Good Wife (2016) ส่วนผู้เขียนบท พัคจีอึน มีผลงานดังๆ อย่าง My Husband Got a Family (2012), My Love from the Star (2013), Legend of the Blue Sea (2016) ซึ่งเธอเองเริ่มคิดไอเดียมาตั้งแต่ปี 2008 หลังอ่านข่าวว่านักแสดงสาวคนหนึ่งล่องเรือหลงทางไปถึงชายแดนเกาหลีเหนือ และในช่วงเก็บข้อมูล เธอได้ลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์วิถีชีวิตและความคิดของคนจำนวนมากทั้งที่เคยอยู่และเคยไปเกาหลีเหนือ เพื่อนำมาผสมผสานกับจินตนาการในการสร้างเรื่องราวและสถานที่ให้ออกมาสมจริงที่สุด
ส่วนการเดินเรื่องของซีรีส์ก็รวดเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ ลำพังในอีพีแรกก็กระชับเรื่องราว ปูพื้นทุกอย่าง แล้วจบแบบลุ้นๆ ให้อยากติดตามอีพี 2 ต่อในทันที นอกจากนี้ Crash Landing on You ยังเป็นซีรีส์ที่รวมทุกอารมณ์เข้าไว้ในเรื่องเดียวได้อย่างเก่งกาจ จังหวะดราม่า ตลก แอ็กชัน โรแมนติก เกลี่ยกันออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทำให้เรื่องราวที่เราพอจะเดาทางได้นั้นกลับไม่เคยน่าเบื่อในการติดตามแต่ละตอน
ฮยอนบินในบทสหายผู้กองก็ทำให้ภาพหนุ่มเกาหลีเหนือนุ่มละมุนน่ารัก ส่วนซนเยจินกับการรับบทยุนเซรีก็เรียกว่าพลิกจากคาแรกเตอร์เศร้าๆ ที่มักได้รับอยู่ตลอด และทำให้เห็นว่าสำหรับการแสดงนั้น ทั้งคู่เอาอยู่ทุกบทบาท เป็นเคมีนักแสดงที่ลงตัวจนใครต่อใครอยากเห็นทั้งคู่เป็นมากกว่าเพื่อนในชีวิตจริง
เกาหลีเหนือ Little Forest
อย่างหนึ่งที่ใครได้ดูซีรีส์เรื่องนี้จะรู้สึกไม่ต่างกันคือความสวยงามของทิวทัศน์เกาหลีเหนือที่ยังคงเขียวขจี วิถีชีวิตเรียบง่ายคล้ายย้อนไปหลายสิบปีก่อน การนำภูมิปัญญาดั้งเดิมสมัยคุณตาคุณยายยังเด็กมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งการถนอมอาหารเอาไว้ที่พื้นใต้ดิน, ซักผ้าด้วยมือริมแม่น้ำ, ใช้เทียนส่องสว่างตอนกลางคืน, น้ำอุ่นที่ต้องต้มเอง, วัตถุดิบปรุงอาหารตามฤดูกาลที่สดใหม่ เพียงแค่ย่างไฟง่ายๆ ก็อร่อยจนนางเอกที่ช่างเลือกเรื่องกินถึงกับหยุดไม่ได้
หลายฉากหลายตอนทำให้รู้สึกคล้ายย่อยภาพยนตร์ Little Forest เข้าไว้ด้วยกัน ตรงกับเทรนด์การใช้ชีิวิตที่หวนกลับไปสู่ความเรียบง่าย ฉากที่แสดงความละเมียดละไมได้ดี เช่น ฉากที่สหายผู้กองบรรจงต้มบะหมี่ ชงกาแฟให้ยุนเซรี หรือการล้อมวงกินอาหารด้วยกัน เป็นเสน่ห์เรียบง่ายที่ทำให้หลายคนคิดถึงชีวิตแบบอะนาล็อก
แง่มุมสีเทาของตัวละคร
คนคนหนึ่งไม่มีแค่ด้านเดียว เฉดสีขาว ดำ เทา อาจพลิกกลับไปกลับมาได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปกติชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ เช่นเดียวกับตัวละคร ซอดัน (รับบทโดย ซอจีฮเย) และกูซึงจุน (รับบทโดย คิมจงฮยอน)
ซอดันถูกความหลงทำให้เชื่อว่ารักครั้งแรกของเธอที่มีต่อรีจองฮยอกจะเป็นรักครั้งสุดท้าย เขาคือผู้ชายที่เธอจะแต่งงานด้วย ความหลงนั้นผลักเธอไปสู่โซนสีเทาที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะและได้แต่งงานกับเขา
ขณะที่กูซึงจุนผู้เป็นนักต้มตุ๋นภายใต้ฉากหน้าของนักธุรกิจหนุ่ม เขาไม่ได้ต่างจากโชชอลกังในการทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และเงินทอง แต่กระนั้นเมื่อถึงเวลาหนึ่งเขากลับถอนตัวจากโซนสีเทาดำมาอยู่ฝั่งสว่างขึ้นด้วยการพยายามช่วยเหลือยุนเซรี ในขณะที่พี่น้องของเธอไม่ต้องการให้ยุนเซรีมีชีวิตรอดกลับมาด้วยซ้ำ
ตัวละครสายลับทำหน้าที่ดักฟัง เขาถูกตราหน้าว่าเป็น ‘หนู’ จากการทำงานใต้ดินที่สกปรก นั่นทำให้เขาถูกสีเทาดำฉาบเอาไว้ แม้รู้ว่างานที่ทำอาจส่งผลร้ายต่อคนอื่นได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จนสุดท้ายเขาก็ย้ายตัวเองมาเจือสีขาวมากขึ้นด้วยการทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อช่วยเหลือคนที่ถูกปองร้าย
ขณะที่ตัวละครหลักอย่างรีจองฮยอกและยุนเซรี พวกเขาเหมือนเป็นตัวแทนของสีขาว แต่ก็มีสีเทาฉาบเอาไว้จางๆ ทำให้เห็นความเป็นคนธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง รีจองฮยอกใช้อำนาจหน้าที่ในทางเอื้อประโยชน์ตัวเองไม่น้อย ทั้งการปิดบังเรื่องของยุนเซรี, ใช้งานเหล่าพลทหารคนสนิทกับภารกิจส่วนตัว, ขอร้องพ่อที่เป็นอธิบดีกรมการปกครองในการส่งตัวยุนเซรีกลับบ้าน ขณะเดียวกันตัวละครยุนเซรีที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด เธอไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น และปฏิบัติกับคนอื่นในแบบนั้น เธอมักจะบังคับให้ลูกน้องทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีใครรออยู่ที่บ้าน อย่างที่ผู้ช่วยของยุนเซรีมักพูดประโยคนี้บ่อยๆ “แค่ได้ยินเสียงท่านประธานผมก็ขนลุกแล้ว” หรือการที่เธอคบหากับเซเลบริตี้เพื่อหวังจะสร้างกระแสและสร้างยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์บริษัทตัวเอง
สุดท้ายเราต่างเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน
เกาหลีเหนือปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ที่มีการจำกัดอิสรภาพในหลายๆ ด้าน แม้แต่ทรงผมของผู้หญิงที่มีให้เลือกเพียงไม่กี่ทรง การแต่งกาย หรือการพูดจา แต่โดยภาพรวมเรากลับได้เห็นรายละเอียดที่ไม่แตกต่างไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบการปกครองใด คือความแหว่งเว้าของมนุษย์ที่มีความละโมภ ไม่เคยพอ เราได้เห็นระบบสังคมอุปถัมภ์ สังคมลำดับชั้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งอำนาจคือสิ่งสำคัญในการยืนระยะในระบบนี้ได้อย่างยั่งยืน
ในหลายฉากของเกาหลีเหนือ เราจะเห็นตัวละครที่มีฐานะร่ำรวย พร้อมสถานะทางสังคมที่สูงส่ง เช่น แม่ของซอดันที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า, พ่อของรีจองฮยอกที่เป็นอธิบดีกรมการปกครอง พวกเขาเหล่านี้เป็นประชากรเพียง 1% ของประชากรทั้งหมด แสดงให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางฐานะและสังคมในเกาหลีเหนือได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน ตัวละครระดับกลางอย่างแพทย์ประจำโรงพยาบาล กลุ่มแม่บ้าน ต่างก็พร้อมจะประจบเอาใจคนที่มีลำดับทางอำนาจสูงกว่าเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน เราจะเห็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอาอกเอาใจดูแลรีจองฮยอกอย่างดีระหว่างเขาเข้ารักษาตัว เพราะหวังจะได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งสูงๆ ในเมืองหลวง หรือการที่ผู้หญิงในหมู่บ้านต้องทำอาหารและหาของขวัญให้ถูกใจภรรยาของหัวหน้านายทหาร
ส่วนตัวละครฝ่ายร้ายที่รังสีอำมหิตชัดเจนอย่าง พลโท โชชอลกัง เขาฉลาดใช้ช่องโหว่เพื่อรวบรวมอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตัวเอง แม้ว่าสิ่งที่ทำจะผิดและขาดมนุษยธรรมร้ายแรง แต่โชชอลกังที่ไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวเป็นผู้มีอำนาจ เขาเลือกเดินทางนี้เพราะต้องการเอาตัวเองให้รอดและยกระดับฐานะทางสังคม หากเขาไม่ทำเช่นนี้ ในซีรีส์เขาอาจเป็นเพียงพลทหารธรรมดาคนหนึ่งก็เป็นได้
นอกจากนี้เรายังเห็นการคอร์รัปชัน แย่งชิงอำนาจ และการติดสินบนปรากฏอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือและในระบบบริหารธุรกิจของครอบครัวยุนเซรีที่ต่อสู้แย่งชิงแม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันก็ตาม เป็นไปได้ไหมที่ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นรูปแบบสังคมทั้งในระดับย่อยและระดับใหญ่ว่ามันคือการรวมเอามนุษย์หลากหลายความคิดความเชื่อเข้าไว้ด้วยกัน เรายังต้องเรียนรู้ ก้าวข้ามผ่าน เอาชนะความผิดพลาดของมนุษย์ที่เชื่อในอำนาจและผลประโยชน์จากรุ่นสู่รุ่นไปตลอดกาล
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: