×

CRACKED: ทำไมทายาแต้มสิวแล้วสิวไม่หาย?

27.05.2022
  • LOADING...
ยาแต้มสิว

ใครที่เคยมีประสบการณ์เป็นสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเล็กน้อย หรือเป็นสิวที่สร้างปัญหาใหญ่อย่างสิวอักเสบหรือสิวหนอง ก็คงจะรู้สึกหนักใจและเกิดความเครียดไปตามๆ กัน เพราะเจ้าสิวตัวดีเป็นต้นเหตุให้ใบหน้ามีจุดบกพร่อง ส่องกระจกทีไรก็ไม่มีความมั่นใจ กว่าจะรักษาสิวให้หายได้ก็ใช้เวลานาน และบางคนรักษายังไงก็ไม่หายสักที โดยเฉพาะเวลาทายาแต้มสิว ยี่ห้อไหนดีลองมาหมด แต่ทำไมใช้แล้วไม่เวิร์ก จริงๆ แล้วอย่าเพิ่งไปโทษสรรพคุณของยาแต้มสิวว่าไม่ดี เพราะต้นเหตุที่แท้จริงอาจเกิดจากการใช้ยาแต้มสิวแบบผิดๆ โดยไม่รู้ตัว นำไปสู่การดื้อยา ทำให้ทายาเท่าไรสิวก็ไม่หาย ดังนั้นวันนี้เราจะมา Cracked ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทายาสิวที่ถูกต้องว่ามีอะไรบ้าง 

 

ควรเลือกยาแต้มสิวอย่างไร?

สิวในโลกนี้ประกอบด้วย สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตัน (Comedone) กับสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) ดังนั้นการจะทายารักษาสิวเราต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็นสิวประเภทไหนอยู่ 

 

สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตัน จะรู้จักกันในรูปแบบของสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือสิวเสี้ยน ที่กดแล้วไม่รู้สึกเจ็บ สิวประเภทนี้รักษาได้ง่ายกว่า เพียงกำจัดความมันและผลัดเซลล์ผิว รวมถึงการทายาละลายหัวสิวบางๆ ก่อนล้างหน้า ควรหมั่นรักษาความสะอาด ก็จะช่วยกำจัดสิวเหล่านี้ให้หมดไปได้ 

 

สิวอักเสบ คือสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ P.Acnes จากการกดบีบสิวหรือเชื้อโรคอื่นๆ ที่เกิดจากการเอามือสกปรกมาสัมผัสใบหน้าที่เป็นสิว มักจะมีลักษณะบวม แดง เมื่อใช้มือกดแล้วเจ็บ การรักษาทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาภายนอกที่มีตัวยาคลินดามัยซิน จะช่วยรักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ โดยใช้หลังการทำความสะอาดผิวหน้า และทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบวันละ 2 ครั้ง

 

ยาแต้มสิว

 

ระยะเวลาในการทายาแต้มสิวต้องทากี่วัน?

การทายาสิวอักเสบติดเชื้อก็ไม่ต่างจากเวลากินยาปฏิชีวนะรักษาอาการต่างๆ ซึ่งแพทย์มักจะแนะนำเสมอว่าควรกินให้ครบโดส เช่น ยาฆ่าเชื้อที่ระบุว่ากินให้ครบ 5 วัน (หรือหมดแผง) ก็ต้องกินให้ครบตามกำหนด (เพื่อป้องกันการดื้อยา) การทายาปฏิชีวนะรักษาสิวก็เช่นเดียวกัน เมื่อทาไป 1-2 วันแล้วสิวยุบ บางคนหยุดทายาไปเลย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีโอกาสดื้อยาสูง ดังนั้นแม้สิวจะยุบหรือหายแล้วก็ควรทายาต่อเนื่อง 5 วัน 

 

Tip: ในการใช้ยาปฏิชีวนะแต้มสิวนั้นไม่ควรใช้ต่อเนื่องยาวนานเกิน 2 เดือน อีกหนึ่งเคสที่มักเจอบ่อยคือการเปลี่ยนยาทาสิวไปเรื่อยๆ เพราะใจร้อน เมื่อทาแล้วไม่เห็นผลก็เปลี่ยนไปทายาตัวอื่นทันที แบบนี้ก็เสี่ยงทำให้เกิดการดื้อยาและเกิดอาการแพ้ยาได้เช่นกัน การรักษาสิวทุกชนิดต้องอาศัยความอดทนและใช้เวลานาน จึงไม่ควรใจร้อน และควรทายาสิวอย่างมีวินัยจะเป็นผลดีต่อการรักษาที่สุด หากใช้ยาถูกต้องแล้วแต่สิวไม่หายและอักเสบกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียดต่อไป

 

ควรทายาแต้มสิวก่อนหรือหลังการทาครีมกันแน่?

จริงๆ แล้วสเต็ปการทายาแต้มสิวนั้นไม่มีกฎตายตัว แต่เภสัชกรมักแนะนำว่า เมื่อใช้กับผิวหน้า ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีคุณสมบัติเป็นยาควรทาก่อนเป็นอันดับแรกหลังการล้างหน้า เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เร็วและซึมซาบเข้าสู่ผิว ก่อนจะลงครีมบำรุงตัวอื่นๆ ในลำดับต่อไป ส่วนสเต็ปการทาครีมบำรุงหลังจากทายาสิวนั้นให้เลือกลำดับการทาก่อน-หลังจากเนื้อผลิตภัณฑ์ ให้เรียงลำดับการทาครีมหรือเซรั่มจากเนื้อเบาที่สุดไปยังเนื้อหนักที่สุด อะไรที่ทาแล้วซึมเร็วให้ทาลงผิวก่อน อะไรที่ดูหนากว่าให้ทาทีหลัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาทาครีมนาน แต่ก็แลกมาด้วยประสิทธิภาพของการบำรุงผิวได้อย่างเต็มที่

 

ยาแต้มสิว

 

เคล็ดลับเด็ดในการทายาแต้มสิวให้ได้ผลต้องทำอย่างไร?

หลายคนทายาสิวทั่วใบหน้า เพราะเข้าใจว่าจะเป็นการป้องกันการเกิดสิวใหม่ไปในตัว ซึ่งเป็นวิธีการใช้ยาสิวที่ผิด เพราะการทายาสิวที่ถูกต้องควรทาเฉพาะจุดที่เป็นสิวเท่านั้น เพื่อให้ยาออกฤทธิ์รักษาสิวได้ตรงจุด และไม่สร้างการระคายเคืองให้กับผิวหนังบริเวณอื่นที่ไม่เป็นสิว อย่าลืมว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้ทาภายนอกเพื่อรักษาสิวนั้นไม่ได้ถูกกับผิวพรรณของทุกคน บางคนอาจมีอาการแพ้จากการใช้ยาเกิดขึ้นได้ หากใช้ทาทั่วใบหน้า เมื่อแพ้ยาสิวอาจเห่อทั่วหน้าและสร้างปัญหาใหม่ให้ผิวบอบบางและระคายเคืองมากกว่าเดิม ดังนั้นเวลาจะทายาสิวควรทาเฉพาะจุดที่มีปัญหาสิวเท่านั้น

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X