ราคาหุ้นของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาและให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ รวมถึงการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ที่พักอาศัย และศูนย์อาหาร ปรับตัวลดลงถึง 9.66% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปรับลงที่แรงกว่าภาพรวมของดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงเพียง 3.29%
หากย้อนหลังกลับไปในระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่โควิดเกิดการระบาดรุนแรงระลอกใหม่ ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง 1.87% แต่หุ้น CPN เจอแรงเทขายจนราคาปรับตัวลงมาแล้ว 10.53% จากระดับราคาสูงสุดที่ 56.50 บาทต่อหุ้น (ณ พฤษภาคม 2564) มาอยู่ระดับต่ำสุดที่ 46 บาทต่อหุ้น (ณ 3 สิงหาคม 2564) โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคปหดหายไปมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากระดับ 2.61 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เหลือเพียง 2.09 แสนล้านบาทในปัจจุบัน สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อหุ้น CPN
ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดของ CPN ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD WEALTH ว่า หากพิจารณาแผนงานของ CPN แล้วจะพบว่าแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ แผนงานระยะสั้นและแผนงานระยะยาว
โดยหากประเมินทิศทางของ CPN ระยะสั้น ในช่วงไตรมาสที่ 3 และช่วงที่เหลือของทั้งปีนี้ เบื้องต้นยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในภาพรวมบริษัทสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โดยดำเนินมาตรการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ยังมีนโยบายลดต้นทุนในการดำเนินงาน การควบคุมค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายทางการตลาด เพื่อรักษาสภาพคล่องของกระแสเงินสด เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมทั้งมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ขณะที่แผนงานระยะยาวยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนา 3 โครงการบิ๊กมิกซ์ยูส ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และ เซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในสิ้นปีนี้ และ เซ็นทรัล จันทบุรี ซึ่งเตรียมเปิดภายในกลางปี 2565 โดยตั้งเป้าหมายจะให้ทั้ง 3 บิ๊กมิกซ์ยูสนี้ช่วยต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐในอนาคต ยกระดับเมืองศักยภาพสูงทั้ง 3 จังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างอัตราการจ้างงาน และช่วยให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวดีขึ้นได้
นอกจากนี้ยังมีโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับ บมจ.ดุสิตธานี บนทำเลทอง ‘ซูเปอร์คอร์ซีบีดี’ ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไปอีกด้วย
“ในช่วงสถานการณ์โควิดและมีการออกมาตรการล็อกดาวน์ CPN คงประเมินความเหมาะสมตามสถานการณ์ เบื้องต้นเราให้ความช่วยเหลือผู้เช่า ร้านค้าในศูนย์ฯ โดยจัดแคมเปญและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ และการเพิ่มช่องทางการขายให้ผู้เช่าแบบ Omnichannel นอกจากนี้ยังช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากโควิด โดยการเปิดพื้นที่ฟรีให้จำหน่ายสินค้า ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่ปกติดี ณัฐกิตติ์ กล่าว
ตามเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) ณัฐกิตติ์ กล่าวว่า CPN ยังเตรียมพร้อมเพื่อเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังได้ศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการและการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซียและเวียดนาม ตลอดจนการศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ปัจจุบัน CPN มีศูนย์การค้าทั้งสิ้น 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในประเทศ 33 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่ารวมกว่า 1.8 ล้านตารางเมตรอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ ที่เหลือกระจายอยู่ในต่างจังหวัด 18 โครงการ และยังมี 1 โครงการในต่างประเทศ ที่มาเลเซีย คือ เซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงาน 10 แห่ง โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 18 แห่ง และศูนย์อาหาร 30 แห่ง
ณัฐกิตติ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิดจะจบเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาด การกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงโดยเร็ว รวมทั้งมาตรการเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
โดย CPN พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำสั่งภาครัฐอย่างเต็มที่ ทั้งในแง่การมอบพื้นที่เพื่อใช้เป็นจุดให้บริการฉีดวัคซีน และการคุมเข้มยกระดับมาตรการความสะอาดปลอดภัยภายใต้แผนแม่บท ‘เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ’
