ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมอาหารกำลังลำบากมาก จากการที่ผู้คนใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นและเริ่มไม่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน แต่ในบางกลุ่มสินค้ายังมีโอกาสอีกมหาศาล ขึ้นอยู่กับว่าใครจะปรับตัวได้เร็วกว่า แน่นอนว่าผู้ประกอบการไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่นั้นจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์โลกใหม่ให้ได้
เอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด ฉายภาพว่า สภาพเศรษฐกิจทำให้เทรนด์อาหารโลกเปลี่ยน ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายเริ่มไม่นิยมออกไปกินอาหารนอกบ้านเหมือนเดิม โดยเฉพาะร้านอาหารเชนขนาดใหญ่ที่เผชิญปัญหายอดขายตกต่ำ เนื่องจากอาหารนอกบ้านมีราคาสูง ผู้บริโภคจึงหันมามองหาทางเลือกที่สามารถรับประทานเองได้ที่บ้านมากขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าวได้สร้างอานิสงส์ให้กลุ่มสินค้าอาหารพร้อมกินที่อร่อย ถูกปาก หลากหลาย กลายเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของสินค้าในกลุ่มอาหารของซีพีเอฟ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพร้อมกินไทยซีรีส์ หรือสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสที่เน้นตอบโจทย์ทั้งรสชาติและสุขภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 2 ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอาหารของไทยมอง ‘เทคโนโลยี’ คือกุญแจเร่งเครื่องอุตสาหกรรมอาหารไทย
- CPF เผย ภาษีทรัมป์ไม่กระทบธุรกิจ แต่ห่วงเกษตร-อาหารไทย ฝากรัฐเร่งเจรจา
- หอการค้าขนทัพ CP-SCG-ปตท.-ไทยซัมมิท-บ้านปู บุกตลาดสหรัฐฯ
เมื่อมาดูที่แนวโน้มอนาคตอีกหนึ่งเทรนด์ที่เห็นชัดเจนคือ ผู้บริโภคเริ่มลดการบริโภคเนื้อสัตว์ หันมาเพิ่มสัดส่วนผักในแต่ละมื้ออาหารมากขึ้น และให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสินค้านวัตกรรมใหม่ เช่น อาหารที่มีโพรไบโอติก จึงจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักที่เราจะพัฒนา
คาดว่าสุขภาพยังคงเป็นเมกะเทรนด์ที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ขณะที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ยังต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ท่ามกลางตัวเลือกที่หลากหลายในตลาด นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญและต้องก้าวให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เอกปิยะกล่าวต่อไปว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่อุตสาหกรรมอาหารยังคงเติบโตได้ ปีนี้บริษัทฯ จะเดินหน้านำเสนอสินค้าใหม่ภายใต้ธีมรักษ์โลก พร้อมชูจุดเด่นด้านสุขภาพ และนอกจากเนื้อสัตว์ หมู ไก่ กุ้งสด แล้วยังได้พัฒนาแบรนด์อาหารแปรรูป ไม่ว่าจะเป็น คิทเช่นจอยและมีทซีโร่ ซึ่งพบว่ากระแสตอบรับค่อนข้างดี ตรงความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น
ไม่เพียงแค่จะทำตลาดในประเทศ แต่ยังมีการขยายการส่งออก โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป ซึ่งปัจจุบันมีการครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสแกนดิเนเวียแล้วกว่า 80% และกำลังรุกสู่ตลาดใหม่อย่างอิตาลี ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีความท้าทายมาก แต่สินค้าเริ่มได้รับการยอมรับให้วางจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำของอิตาลีไปแล้ว และมีการส่งเมนูสินค้าไก่ไทย ออกไปให้นักบินอวกาศด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสหาลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการเข้าไปเปิดบูธ CPF ในงานไทยเฟ็กซ์ปี 2568 เพื่อโชว์ศักยภาพและนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดทั้งประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อังกฤษ เยอรมัน รวมถึงกลุ่มประเทศซีไอเอส ที่ประกอบด้วย 11 ประเทศ ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัญลักษณ์ฮาลาลที่มีดีมานด์มากขึ้นเรื่อยๆ