องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า โลกไม่ควรตื่นตระหนกเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอน แต่ควรเตรียมตัวให้พร้อม ชี้สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากปีที่แล้วมาก
ดร.โสมยา สวามินาธาน นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของ WHO กล่าวในที่ประชุม Reuters NEXT ว่า ข้อมูลจากแอฟริกาใต้แสดงให้เห็นว่าโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้แพร่เชื้อได้สูง และโอไมครอนอาจกลายเป็นสายพันธุ์ที่ครองโลก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคาดเดาได้ยาก
“ถามว่าเราควรกังวลขนาดไหน เราต้องเตรียมพร้อมและระมัดระวัง อย่าตื่นตระหนก เพราะเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างไปจากปีที่แล้ว” เธอกล่าว โดยปัจจุบันสายพันธุ์เดลตาคิดเป็น 99% ของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับป้องกันโควิด และสิ่งสำคัญคือควรกระจายวัคซีนให้กว้างขึ้น พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าควรเปลี่ยนวัคซีนเหล่านี้เพื่อจัดการกับสายพันธุ์โอไมครอน
รายงานระบุว่า โอไมครอนถูกพบในเกือบ 40 ประเทศแล้ว อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์สูงนี้สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าหรือสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนได้ดีกว่าหรือไม่
ข้อมูลเบื้องต้นที่รายงานโดยนักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้ ซึ่งตรวจพบสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นครั้งแรก บ่งชี้ว่าโอไมครอนอาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันบางอย่างต่อโควิด แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการวิเคราะห์ดังกล่าวยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกประกาศห้ามการเดินทางจากประเทศในแอฟริกาตอนใต้ ภายหลังการตรวจพบโอไมครอนครั้งแรก สหรัฐอเมริกากำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนต้องตรวจโควิดก่อนเดินทางไม่เกิน 1 วัน โดยขณะนี้มีการตรวจพบโอไมครอนในอย่างน้อย 6 รัฐของสหรัฐฯ รวมถึงฮาวาย ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่มีประวัติการเดินทางในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่อินเดียรายงานพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน 2 รายแรกในประเทศ หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้อายุ 66 ปี เดินทางมาจากแอฟริกาใต้ และออกจากอินเดียไปแล้ว ในขณะที่คนที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์อายุ 46 ปีในเมืองเบงกอลทางตอนใต้ของอินเดีย ไม่มีประวัติการเดินทาง
ส่วนประเทศในยุโรปกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดี (2 ธันวาคม) เยอรมนีประกาศข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยผู้ที่ฉีดวัคซีนหรือผู้ที่เพิ่งหายจากโควิดเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และร้านค้าต่างๆ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ยังกล่าวอีกด้วยว่าอาจมีการบังคับฉีดวัคซีนภายในเดือนกุมภาพันธ์
ด้านประเทศเพื่อนบ้านอย่างออสเตรียประกาศบังคับฉีดวัคซีนให้ประชาชนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ได้นำมาตรการป้องกันและควบคุมโควิดกลับมาใช้ใหม่ หรือใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหราชอาณาจักรกำลังเร่งดำเนินงานเพื่อเริ่มฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้ประชาชน โดยรัฐบาลได้ซื้อวัคซีน Pfizer และ Moderna อีก 114 ล้านโดส และประกาศว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะได้รับวัคซีนกระตุ้นภายในสิ้นเดือนมกราคม
ภาพ: Maxym Marusenko / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง:
