วันนี้ (8 ตุลาคม) เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และกรมสุขภาพจิต ได้แสดงความห่วงใยต่อสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย ชี้วิกฤตโควิดส่งผลให้เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากต้องเผชิญกับความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง
ผลการประเมินสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นไทยโดยกรมสุขภาพจิต พบว่า ร้อยละ 28 ของเด็กและวัยรุ่นมีภาวะเครียดสูง, ร้อยละ 32 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ในขณะที่อีกร้อยละ 22 มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย โดยเป็นการเก็บข้อมูลจากเด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 183,974 คน ที่เข้ามาประเมินสุขภาพจิตตนเองผ่านแอปพลิเคชัน Mental Health Check-in ของกรมสุขภาพจิตในช่วง 18 เดือนของการระบาดของโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 ถึง 30 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา
การสำรวจโดย UNICEF เมื่อปี 2020 ยังพบว่า เด็กและเยาวชนจำนวน 7 ใน 10 คนมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด โดยเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กังวลกับรายได้ของครอบครัว การเรียน การศึกษา และการจ้างงานในอนาคต
คยองซันคิม ผู้อำนวยการองค์การ UNICEF ประเทศไทย กล่าวว่า “เด็กและวัยรุ่นในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ และเราเชื่อว่า นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง แม้ว่าผลกระทบด้านสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนจะเป็นเรื่องสำคัญ และส่งผลต่อสุขภาวะของเด็กในระยะยาว แต่ประเด็นสุขภาพจิตมักถูกละเลย ถูกมองข้าม หรือแม้กระทั่งถูกปกปิดไว้ เนื่องจากสุขภาพจิตยังเป็นเรื่องที่ถูกตีตราหรือเรื่องน่าอาย แต่ในความเป็นจริงเรื่องของสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลใส่ใจอย่างจริงจัง และถูกหยิบยกมาพูดถึงให้เป็นเรื่องปกติ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่เผชิญปัญหาด้านสุขภาพจิตได้รับการสนับสนุน และเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น”
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ UNICEF ได้เผยแพร่รายงาน The State of the World’s Children 2021; On My Mind: promoting, protecting and caring for children’s mental health ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเด็กอย่างน้อย 1 ใน 7 คนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ในขณะที่เด็กอีกมากกว่า 1,600 ล้านคนต้องเผชิญกับการเรียนรู้ที่หยุดชะงักลง รายงานฉบับดังกล่าวยังเตือนว่าเด็กและเยาวชนอาจจะต้องเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพจิตจากการแพร่ระบาดของโควิดต่อไปอีกหลายปี
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุว่า ที่จริงแล้วแม้แต่ช่วงก่อนการแพร่ระบาดเด็กและเยาวชนเหล่านี้ต่างต้องแบกภาระทางสุขภาพจิตที่แทบไม่เคยถูกกล่าวถึง จากการประเมินพบว่า เด็กอายุ 10-19 ปี กว่า 1 ใน 7 คนทั่วโลกมีความป่วยทางจิตที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ และวัยรุ่นเกือบ 46,000 คนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็น 1 ใน 5 สาเหตุหลักของการเสียชีวิตในวัยรุ่น
ในประเทศไทย การฆ่าตัวตายยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตของวัยรุ่น ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุว่าเด็กและเยาวชนอายุ 10-29 ปี ราว 800 คนฆ่าตัวตายสำเร็จในปี 2019 ในขณะที่ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กรมสุขภาพจิต ระบุว่า เด็กและวัยรุ่นอายุ 10-19 ปีกว่า 10,000 คน ได้โทรเข้าสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพื่อขอรับคำปรึกษา โดยปัญหาสุขภาพจิตสำหรับวัยรุ่นที่พบมากที่สุดคือ ความเครียดและความวิตกกังวล ปัญหาความรัก และภาวะซึมเศร้า
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า “การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ทำให้วิถีชีวิตของเด็กและวัยรุ่นต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เด็กจำนวนหนึ่งอาจไม่สามารถปรับตัวกับการเรียนรูปแบบใหม่ได้จนเกิดผลกระทบต่อการเรียนและพัฒนาการได้หลายด้าน ทั้งผลกระทบที่มีต่อผู้ปกครองและครอบครัวก็ทำให้การเลี้ยงดูทำได้ไม่เต็มศักยภาพ ไม่สามารถใช้เวลาที่มีคุณภาพกับเด็กได้เพียงพอ ปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากการเจ็บป่วย การเว้นระยะห่างทางสังคม การงดกิจกรรมนอกบ้าน และการสวมหน้ากากอนามัย
สำหรับในเด็กวัยรุ่นนั้น พบว่ามีความเครียดสูงมากขึ้น เข้าสังคมลดลง ติดจอและเกมออนไลน์มากขึ้น ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งและความรุนแรงในครอบครัว จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายในบางรายอีกด้วย ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตจะติดตามเด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และทำงานอย่างบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน รวมไปถึง UNICEF ที่ร่วมกันช่วยดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทยเป็นอย่างดีเสมอมา”
การขาดความรู้และความตระหนักในสุขภาพจิต ประกอบกับการตีตราและการขาดแคลนทรัพยากรด้านสุขภาพจิต ส่งผลให้เด็กและเยาวชนจำนวนมากพลาดโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดี หรือได้รับการช่วยเหลือเมื่อเผชิญปัญหาทางสุขภาพจิต จากฐานข้อมูลของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่า ประเทศไทยมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นให้บริการในหน่วยงานของรัฐเพียงประมาณ 200 คนเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชากรวัยรุ่น 15 ล้านคน
องค์การ UNICEF และกรมสุขภาพจิต ได้เร่งทำงานร่วมกับภาคีต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการและการช่วยเหลือที่มีคุณภาพและทันท่วงทีสำหรับเด็กและวัยรุ่น และมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติเชิงลบต่อปัญหาสุขภาพจิตผ่านการพูดคุย การลดการตีตรา และการสร้างเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพจิตให้แก่เด็ก วัยรุ่น รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคมโดยรวม
ในปี 2020 UNICEF กรมสุขภาพจิต และ JOOX ได้ออกแคมเปญ ‘The Sound of Happiness’ หรือ ‘ฟัง x เล่า = ความสุข’ เพื่อส่งเสริมให้วัยรุ่นมีทักษะในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่กระทบต่อสุขภาพจิตของพวกเขา ผ่านพอดแคสต์และเพลง โครงการนี้ยังมุ่งลดทัศนคติเชิงลบในสังคมที่มีต่อปัญหาสุขภาพจิต และส่งเสริมให้เยาวชนกล้าเปิดอกพูดถึงปัญหาด้านสุขภาพจิตกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่พวกเขาไว้ใจ
คิมกล่าวเสริมว่า “UNICEF มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับกรมสุขภาพจิต ภาคการศึกษา และภาคีต่างๆ ของเรา เพื่อให้เด็กและวัยรุ่นได้เติบโตและเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย เปี่ยมไปด้วยความรัก และเอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี และเมื่อใดก็ตามที่เด็กๆ ต้องการการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตจากผู้เชี่ยวชาญ เราต้องสร้างความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตที่มีคุณภาพ เป็นมิตร และทันท่วงที”
ภาพ: UNICEF ประเทศไทย