อัลแบร์ กามู นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเคยกล่าวว่า ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นมีอยู่ 4 ข้อคือ อยู่ในที่ที่อากาศปลอดโปร่ง พ้นจากความทะเยอทะยาน มีความคิดสร้างสรรค์ และรักใครสักคน ประโยคเรียบง่าย อุดมการณ์คลาสสิกที่ตอบโจทย์พื้นฐานความสุขของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ
แต่กับความเป็นจริงสำหรับบางคนและบางคู่ กว่าจะได้พบ ‘ใครสักคน’ มาให้รักนั้นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของ ศรราม เทพพิทักษ์ และ นิโคล เทริโอ นั้นก็ดูไม่แตกต่าง ด้วยเพราะทิศทางความรักของทั้งคู่มาพบกันในวันที่เติบโตและเต็มไปด้วยวุฒิภาวะ
สำหรับฝ่ายชาย นี่คือความรักความสัมพันธ์ครั้งแรกหลังจากครองตัวเป็นโสดมานานกว่า 8 ปี ด้านฝ่ายหญิง นี่คือความรักในวันที่เต็มไปด้วยวุฒิภาวะแห่งความเป็นแม่ ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เรื่องราวของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยแง่มุมน่าสนใจ
นี่คือบทสัมภาษณ์คู่ครั้งแรกหลังจากความรักเติบโต พระเอกหนุ่มใหญ่เผยหลักคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งนี้กับ THE STANDARD ว่า “ผมมีหลักของผมอยู่ 4 ข้อคือ รู้ใจ เอาใจ เห็นใจ เกรงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผมพยายามทำ 4 อย่างนี้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจให้มันดีที่สุด” และถือเป็นประโยคเริ่มต้นสนทนา ‘เรื่องรัก’ ที่ทำให้บรรยากาศและภาษาใจที่เราคุยกันนั้นเต็มไปด้วยสีชมพูที่อบอุ่น
The Destiny
ศรราม: ผมว่ามันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตมากกว่า เพราะผมเองรู้จักนิกกี้มานานแล้วในฐานะเพื่อนร่วมวงการ แต่ไม่เคยคิดจะจีบเขา แล้วนิกกี้ก็เป็นเพื่อนที่ดี เจอกันก็ทักทายกัน จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปเจอเขาที่มัลดีฟส์หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก คือต่างคนต่างไปทำงาน แล้วหลังกลับจากมัลดีฟส์ ผมเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ พอเปลี่ยนเครื่อง ไลน์มันก็เด้งแอ็กเคานต์ของนิกกี้ขึ้นมา ผมก็เลยทักเขาไป แล้วหลังจากนั้นก็โทรศัพท์คุยกัน คุยกันธรรมดาเหมือนเพื่อนปกติ คุยกันได้ทุกเรื่องสบายๆ
ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกแบบเกินเพื่อนมันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ตัวเมื่อไร
ศรราม: ก็ผ่านมาสักระยะหนึ่งครับ เวลาเราคุยกับเขา มันจะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่เรารู้อยู่เสมอเลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือทิกเกอร์ คือลูกชาย
มันจะมีประโยคที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า “หนุ่ม แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวขอโทรหาทิกเกอร์ก่อน” หรือ “แค่นี้ก่อนนะ ทิกเกอร์กลับมาแล้ว ต้องส่งลูกเข้านอนก่อน”
ผมเองก็โตมาแบบอยู่กับคุณแม่เยอะ ผมก็เลยชื่นชมที่เขาเป็นคุณแม่ที่ดี ชื่นชมที่เขามีความรับผิดชอบ
พอคุยกับเขาไปเรื่อยๆ มันสบายใจ เพราะเราไม่ต้องระวังตัวเยอะ ไม่ต้องสร้างว่าเราเป็นคนดีมากหรือต้องวางตัวอะไร ผมจำได้ว่าตอนคุยกับเขาวันแรก ผมอยู่ต่างประเทศแล้วก็โทรไปหาเขา เวลามันต่างกัน แล้วก็โทรไปป่วน เขาก็หัวเราะ งงกันไปงงกันมา (หัวเราะ)
นิโคล: เขาจะกวนๆ ป่วนๆ โทรมาแบบเฟซไทม์ แล้วเขาจะมีมุกแบบที่เราไม่ค่อยเก็ต เป็นมุกแบบตี๋ใหญ่ นึกออกไหม บางทีก็ทำเสียงดังมาก เราก็จะตกใจ
มุกตี๋ใหญ่นี่เป็นอย่างไร
ศรราม: มุกแบบผู้ชายมากๆ ผมเป็นคนเสียงดัง พูดเร็ว ติดมาจากที่เราเล่นกีฬาฟุตบอล เรียนโรงเรียนชายล้วนมา เป็นทหารเกณฑ์ด้วย แล้วพอพูดดังๆ กี้เขาก็ตกใจ หรือบางทีพูดเร็ว เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ
นิโคล: ตอนนี้เข้าใจแล้ว แต่จังหวะพูดคุยกันตอนนั้นมันเหมือนเว้นวรรคผิด แล้วเขาพูดเร็ว พูดมาจากทางโทรศัพท์ เลยต้องตั้งใจฟังมากๆ หนุ่มเขาจะพูดเสียงดัง เหมือนจะโวยวาย แต่ไม่ใช่ วอลุ่มโดยธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น
ต้องอธิบายอย่างนี้ เราสองคนรู้จักกันมานาน 20 กว่าปีแล้ว กี้เห็นเขามานานมากๆ แต่เพราะความที่อยู่คนละค่ายเพลงเลยไม่ได้ร่วมงานกัน ส่วนงานแสดง กี้เล่นละครไม่เยอะนะ แต่ละครทุกเรื่องที่กี้เล่นมีป๋าเดียร์ (ชุมพร เทพพิทักษ์) ร่วมแสดงอยู่หมดเลย แล้วทุกครั้งที่เจอกันเขาจะมารยาทดีมาก “สวัสดีครับกี้ กี้สบายดีนะครับ แล้วทิกเกอร์เป็นยังไงบ้าง” พอเราบอกสบายดี “โอ้โห ดีมากเลยครับ” ลงท้าย “ครับผม ครับผม” แต่พอสนิทกันแล้วเจออย่างนี้ มันตกใจไง
In a Relationship
ศรราม: ที่เริ่มรู้สึกเนี่ย ตอนนั้นผมอยู่ที่ซานฟรานซิสโก แล้วมีเวลาว่างอยู่วันหนึ่งคือวันสุดท้าย มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมาก ประมาณสัก 7-8 ปีกว่า คือผมเดินเข้าร้านขายของสุภาพสตรี นึกออกไหม คือเราไม่เคยเข้าร้านแบรนด์เนมผู้หญิง หรือร้านที่ขายของสำหรับผู้หญิง มันเป็นโมเมนต์ที่อยู่ดีๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เฮ้ย อยากจะซื้ออะไรไปฝากกี้ ทั้งที่ปกติตัวผมไม่ค่อยได้ซื้อ
ปกติไปต่างประเทศ ถึงแอร์พอร์ตขาเข้า แวะซื้อ La Mer ให้แม่จบ เจ๊งกระเป๋าฉีก ครีมกระปุกนิดเดียว แต่ราคาเกือบ 3 หมื่น นั่นผมซื้อประจำอยู่แล้ว แต่แบบนี้มันพิเศษกว่า และเป็นโมเมนต์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมมานานมาก ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะจีบนะ เพียงแต่พฤติกรรมมันเปลี่ยนไป จนวันหนึ่งผมถามเขาว่าตอนนี้มีใครหรือเปล่า…
นิโคล: เขาบอกอย่างนี้ แมนๆ ถ้ากี้มีก็ไม่ยุ่งนะ ถ้ามีหนุ่มก็จะถอย แล้วเราก็เป็นเพื่อนกัน เพราะหนุ่มไม่ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน หนุ่มเป็นคนอย่างนี้ หนุ่มชัดเจน ถ้าไม่มีใคร หนุ่มจะได้ลุยต่อ เหมือนถามเองตอบเอง (หัวเราะ) คือในใจเราก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองเนอะ
ว่ากันว่าเซนส์ผู้หญิงจะแรง จากเป็นเพื่อน อยู่ๆ บอกจะจีบ หลังจากจีบแล้วทำอย่างไรต่อ
นิโคล: ตอนแรกเห็นเขาเป็นเพื่อนมากกว่านะคะ กี้ไม่มีใคร เขาไม่มีใคร
แล้วเขาเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ กี้เป็นผู้ใหญ่ และดูเขามีความเอ็นดูกับทิกเกอร์ คือเราไม่ได้อยู่ในช่วงที่จี๊ดจ้าด อุ๊ย! พี่หนุ่ม ศรราม มันไม่ใช่ อย่างที่บอกว่ากี้กับหนุ่มเนี่ย เราเจอกันมานานมากจริงๆ เขาน่ารักดี ตลกดี แต่พอมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว มันคุยกันได้ ปรึกษากันได้ กี้เลยตัดสินใจ โอเค งั้นเราลองศึกษาดูใจกัน
แต่ว่าอย่างที่ทุกคนทราบ คือตั้งแต่เราคบกันมา เราสองคนอยู่ในข่าวเยอะมาก หลายๆ คนก็จับตามองคู่เราอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคู่เราจะแฮปปี้หรือมีอะไรกะจุ๊งกะจิ๊งนิดๆ หน่อยๆ ทุกคนจะทราบ
อย่างถ้าไม่ลงรูปคู่ หลายคนก็จะถามว่าทำไมไม่มีรูปเลย หรือบางทีลงรูป แต่ไม่แท็กชื่อ คนก็จะถามว่าทำไมไม่แท็กชื่อ ทะเลาะกันเหรอ หรือบางทีลงรูปอะไรขำๆ ก็กลายเป็นข่าว คือคนสนใจคู่เรามากขนาดนั้น
ตรงนี้แหละที่กี้ต้องปรับ เพราะเราไม่ชินกับตรงนี้ จากเดิมเวลาทำอะไรเราไม่ต้องนึกถึงมันมาก คือความจริงเราสองคนเป็นคนง่ายๆ มากเลย เราเป็นคนไม่ติดหรู หรือทำอะไรแล้วต้องคอยสร้างภาพ แต่ตอนนี้ทำอะไรก็ต้องคิดให้ละเอียดขึ้น
อึดอัดไหมที่ความรักของเรามีคนจับจ้องสนใจ
นิโคล: ไม่ได้อึดอัดค่ะ แต่หมายถึงเรื่องการปรับตัวที่ต้องเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน น่าจะเป็นเรื่องตรงนี้มากกว่า
ศรราม: พูดง่ายๆ กี้เขาก็มีคนรักเยอะ ผมเองก็มีคนรักเยอะ ซึ่งคนที่รักเขาก็หวังดีกับเรา เขาคอยเชียร์ คอยลุ้น หรือให้กำลังใจเราทั้งคู่ พอเขาเห็นการกระทำอะไรที่มันผิดปกติไปจากเดิมนิดหน่อย มันก็จะเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนจำนวนมาก
ที่ผ่านมาเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณสองคนผ่านมันมาได้อย่างไร
ศรราม: เป็นเพราะเราคุยกันมากกว่าครับ แต่บอกตรงๆ นะ คือผมบอกเขาอยู่เสมอว่าผมน่ะไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และผมก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่ผมทำให้เขาเนี่ย ผมตั้งใจทำให้เขาหมดในสิ่งที่ผมมีความตั้งใจ
คือที่ผมทำให้เขาเนี่ย มันคือทั้งหมดของผมที่ทำ ผมมีหลักของผมอยู่ 4 ข้อคือคนเราเนี่ยต้องรู้ใจ เอาใจ เห็นใจ เกรงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผมพยายามทำ 4 อย่างนี้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจให้มันดีที่สุด อันนี้ไม่ได้มาจากหนังสือเล่มไหนนะ ผมพูดเองจากความรู้สึก
แรกๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นเราจะทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เราเชื่อว่าประสบการณ์ความรักเนี่ย เราทั้งสองคนมี แต่เวลาที่เรามาเรียนรู้กัน เราก็อยากจะสื่อสารให้เขาเข้าใจด้วยว่าเราเองก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ เรามันไม่ใช่ศรราม เราก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่มีอาชีพเป็นนักแสดง คนอื่นเขามองเราเป็นนักแสดงชาย เป็นดารา แต่ชีวิตเราจริงๆ มันคือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง กินก๋วยเตี๋ยวชามนึง ง่วงก็นอน เดินข้างถนน ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กี้เองก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเวลาเราคุยกันก็เหมือนผู้ชายกับผู้หญิงสองคนที่มาคุยกันว่าจะทำยังไงให้ความรักของเรามันรอด แค่นั้นเอง
เขาดูแลเราดีอย่างที่บอกไหม ทำได้ดีทั้ง 4 ข้อจริงไหม
นิโคล: คิดว่าทั้ง 4 ข้อ ใจเขาทำออกมาได้ครบหมดนะคะ ชอบกินอะไร เข้านอนกี่โมง ตื่นกี่โมง เขารู้ตารางเวลาของเรา ส่วน ‘เอาใจ’ เขาก็เอาใจนะคะ ซื้อโน่นซื้อนี่ ทำโน่นทำนี่ให้กินตลอด (ยิ้ม)
เห็นใจไหมครับ
นิโคล: เขาเห็นใจกี้นะคะ เขามักจะพูดว่าหนุ่มเห็นใจกี้นะที่…
ศรราม: ที่ต้องคบกับหนุ่ม หนุ่มรู้ว่ากี้เหนื่อยกับหนุ่ม หนุ่มเห็นใจกี้นะ (ยิ้ม)
นิโคล: (หัวเราะ) เอาเป็นว่าเขามีความเห็นใจหลายๆ เรื่องในชีวิตกี้นะคะ นอกจากกี้แล้วยังรวมไปถึงเห็นใจคนอื่นๆ ด้วย ส่วนเกรงใจ เขาเป็นคนขี้เกรงใจ เขาเป็นคนไม่อยากให้คนโน้นคนนี้ต้องมาคอยทำอะไรให้ ถ้าทำอะไรเองได้ เขาจะทำเอง
You and Me
นิยามตัวตนของผู้ชายชื่อ ‘ศรราม’ ให้ฟังหน่อยสิครับ
ศรราม: กี้จะตอบได้สั้นมาก นิยามของศรราม กี้จะตอบว่า… เฮ้อออออ (ทำเสียงถอนหายใจ)
นิโคล: นิยามศรรามเหรอ แสบ (หัวเราะ) คำว่าแสบไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ เหมือนกวน คือมันทำให้ชีวิตมีรสชาติมาก เราจะไม่รู้ว่ามันเล่นหนังเรื่องอะไร สไตล์ไหนกัน โรแมนติก-คอเมดี้บ้าง ดราม่าบ้าง
หมายความว่าเป็นผู้ชายประเภทที่คาดเดาอะไรไม่ได้
นิโคล: ไม่หรอกค่ะ คาดเดาได้ เรารู้อยู่แล้ว คือเราทุกคู่เหมือนกันนะคะ คือเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ แต่มันเป็นอะไรที่…
ศรราม: เรามีความซับซ้อนอยู่ในความเรียบง่ายด้วยกันทั้งคู่ กี้ชอบพูดว่ายูอย่าคิดว่าตัวยูเป็นเซ็นเตอร์สิ อะไรทุกอย่างต้องตามใจยู ผมก็จะบอกกลับไปว่าเราก็เป็นเซ็นเตอร์ด้วยกันทั้งคู่
ผมว่านะ คนเราเมื่ออยู่ในอาชีพที่ต้องทำงานบริการคน นักแสดงก็เป็นหนึ่งในงานที่ต้องบริการคน หมายถึงเราต้องทำให้คนมีความสุข สำหรับบางคน แค่เห็นหน้าเราเขาก็ยิ้มแล้ว เขาอยากถ่ายรูป อยากขอลายเซ็น ส่วนเราน่ะเหรอ ตอนนั้นอาจจะไม่สบายอยู่ อาจจะมีความเครียดเรื่องคนในครอบครัวเข้าโรงพยาบาล ฯลฯ แต่แฟนๆ ที่เห็นหน้าของศรราม เห็นว่านี่คือนิโคล เทริโอ นักร้องที่เขาเคยฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก มองเห็นว่าเป็นไอดอล วันนี้เมื่อได้เจอแล้วยังไงก็ต้องถ่ายรูปด้วย
พอแต่ละวันเราต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ เมื่อกลับมาที่บ้านหรือเราอยู่ในคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง เราก็อยากให้มีคนมาทรีตเราแบบนี้บ้าง อย่างกี้เนี่ย พอเล่นคอนเสิร์ตกลับมาถึงบ้าน เราถามเขาว่าเหนื่อยไหม หรือไม่เราก็ซื้ออะไรที่เขาชอบกิน บางทีชาเย็นสักแก้ว ดูแลซึ่งกันและกัน
สลับมาที่ศรราม นิยามตัวตนของผู้หญิงชื่อ ‘นิโคล’ บ้าง
ศรราม: เขาเป็นคนดี เป็นคนจิตใจดี คือข้างในเขาดี
นิโคล: ข้างนอกล่ะ
ศรราม: ข้างนอกก็งามไปด้วย คือเวลามอง เราไม่ได้มองแค่รูปร่างหน้าตา เรามองไปถึงข้างใน เขาเป็นคนดี ถึงแม้เวลาต้องทะเลาะกันแรงๆ หรืออะไรก็ตาม ก็จะเข้าใจว่ามันมาจากอารมณ์ มันไม่ได้มาจากเนื้อแท้ของเขา ถ้ามันมาจากเนื้อแท้ของเขาที่ไม่ดี เราก็คงไม่ได้รับความรักจากเขา
จำได้ว่าตอนมีข่าวว่าคบกันใหม่ๆ มีแต่คนฝากฝังให้ช่วยดูแลศรราม ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ไหม
ศรราม: ไอ้เรื่องการฝากให้ดูแลกันเนี่ยต้องให้นิกกี้เล่า ตลอดระยะเวลาที่คบกัน เวลาเจอใครก็มักจะมีคนพูดว่า… (หันไปทางนิโคล)
นิโคล: กี้ ฝากดูแลหนุ่มด้วยนะ “ค่ะ” ทุกคน ผู้ใหญ่ เพื่อน พี่น้อง คนรู้จัก ทุกคนจะบอกว่าฝากดูแลหนุ่มด้วยนะ “โอเคค่ะ”
ศรราม: ตามที่ผมเข้าใจนะ คือผมเนี่ยน่าจะต้องมีคนคอยประคอง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะเป๋ เพราะฉะนั้นเขาถึงฝากกี้
นิโคล: แต่กี้ถือเป็นเกียรตินะคะ เป็นเรื่องที่ดี หลังๆ พอใครบอกก็บอกเลย “ค่ะ ได้ค่ะ” จะดูแลให้ดีที่สุด แต่ล่าสุดไปเจอพี่ช่า (มาช่า วัฒนพานิช) พี่แอม (เสาวลักษณ์ ลีละบุตร) ที่คอนเสิร์ต เขาฝากดูแลกี้ด้วย โอ๊ย ดีใจมากเลย หนุ่ม ฝากดูแลกี้ด้วยนะ (หัวเราะ)
รู้สึกอย่างไรบ้าง จากที่เคยดูแลแค่ลูกชาย วันหนึ่งต้องดูแลผู้ชายเพิ่มอีกคน
นิโคล: ไม่หรอก เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จริงๆ เขาดูแลเราดีค่ะ ต่างคนต่างดูแลซึ่งกันและกันนะคะ มันไม่ได้เป็นความคิดว่าจะต้องมาดูแลใครเพิ่ม เพราะว่าอยู่ด้วยกันมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่าเราทำอย่างนี้แล้วเขาทำอย่างนี้ หรือพอเราทำ แต่เขาไม่ได้ทำ …คือเราไม่ได้รู้สึกว่าต้องเก็บมาใส่ใจ
ถามฝ่ายชายบ้าง ที่ความสัมพันธ์ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง ปกติเวลาคบกับใครก็มักเริ่มจากการดูแลผู้หญิง ดูแลคนรักเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เหมือนจะมีอีกหลายชีวิตที่ต้องดูแล
ศรราม: ผมไม่ได้กลัว แต่มันก็งง การที่คนสองคนเป็นแฟนกันเนี่ย มันก็เป็นประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว ก็ลำบากนะ แต่คราวนี้ไม่มีแฟนมา 8 ปี มามีแฟนอีกที แรกๆ ก็งงนะ ต้องมีผู้หญิงอีกคนนั่งดูทีวีอยู่ด้วยตลอด เป็นเรื่องเหมือนกันนะ สำหรับผม มีคนมาแย่งช่องโทรทัศน์ผมดูน่ะ คิดแล้วมันยิ้มมากกว่า
นิโคล: ซื้อทีวีอีกเครื่อง
ศรราม: ซื้อทีวีอีกเครื่อง (หัวเราะ) ไม่หรอก ต้องค่อยๆ ปรับครับ แต่โชคดีที่ทิกเกอร์เป็นเด็กผู้ชาย แล้วผมเชื่อมั่นว่าเขามีสิ่งหนึ่งเหมือนผม คือเขาเป็นคนรักคุณแม่
ความสัมพันธ์ที่มาเจอกันในวันที่มีวุฒิภาวะ มีแง่มุมที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง
ศรราม: ไม่ใช่เลย ผมโตมาตั้งนานแล้ว เรามีวุฒิภาวะกันมานานแล้ว กี้ต้องดูแลทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ดูแลทิกเกอร์ตั้งแต่คลอดออกมา ผมก็เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ เราจึงมีวุฒิภาวะกันอยู่แล้ว นี่คือคนสองคนที่มีวุฒิภาวะมาเจอกัน แต่ถ้าถามผม ความคิดผมก็ยังเหมือนเดิม เวลาผมคบใคร ผมให้เกียรติและมีความรู้สึกที่ชัดเจน อยากเป็นครอบครัวกับเขา
กี้เองเขาก็เป็นผู้หญิงที่เก่ง และอย่างที่บอกว่าเขามีวุฒิภาวะของการดูแลครอบครัว ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ และต่อให้ลำบาก ผู้หญิงคนนี้ก็จะไม่ขอให้ใครช่วย เขามีความแกร่งในตัวเองสูง แต่ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักหน้าที่ ผมก็ต้องทำตัวเองให้ดี เตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อที่จะคอยซัพพอร์ตเวลาที่เขาเหนื่อยหรือเวลาที่เขาอ่อนล้าลง
นิโคล: เราคบกัน มีอะไรไม่เข้าใจก็ต้องรีบปรับความเข้าใจเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกัน และอย่างที่พี่หนุ่มบอกเลยว่าเราคบกันอย่างคนที่มีวุฒิภาวะ ซึ่งคำนี้ไม่ได้หมายความว่าเราสองคนเก่งหรืออะไร แต่เรามาเจอกันหลังจากผ่านการใช้ชีวิตจนโตมากแล้ว
พอมาเจอกัน เราสองคนเลยต้องปรับนิสัย ปรับความเข้าใจ ปรับภาษา เพื่อที่จะได้คุยในภาษาเดียวกัน เพื่อที่จะคอยซัพพอร์ตกัน ถ้าพี่หนุ่มเหนื่อยมา กี้ก็อยากจะทำให้เขาหายเหนื่อย และถ้ากี้เหนื่อย เขาเองก็ทำหลายๆ อย่างให้เราดีขึ้น
กี้อยากให้เราสองคนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะชีวิตของคนสองคนมันก็มีแค่นี้แหละ คือเติมในส่วนที่ขาดให้กันและกัน เป็นเพื่อนคุยกัน ให้คำปรึกษาที่ดีต่อกัน
ตกลงว่าดีไหม ดีแค่ไหน มีข้อเสียไหม เวิร์กหรือไม่เวิร์ก
ศรราม: มี ผมเองก็มีข้อเสีย กี้ก็มีข้อเสียในตัวเอง อันนี้มันเป็นตรรกะนะ คือมนุษย์ทุกคนมันมีทั้งด้านดีและด้านเสียอยู่แล้ว แต่สำหรับความรัก ถ้าอยากให้มันคงทนถาวร ไม่ว่าจะเป็นรักพ่อ รักแม่ รักแฟน รักเพื่อน คุณต้องพยายามทำในสิ่งที่ดีให้เขาเยอะๆ ด้านเสียๆ ให้ไปทำที่อื่น เอาไปลงกับตัวเองก็ได้ แล้วเวลาข้อเสียเกิดหลุดออกมานะ ให้รีบขอโทษ
นิโคล: อย่างที่ทราบว่าเราต่างคนต่างมาเจอกันในวันที่ค่อนข้างโต นิสัยอะไรเราก็เป็นกันมานานแล้ว บางอย่างเลยต้องค่อยๆ ปรับ ตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ต้องรีบเคลียร์ให้เข้าใจ สิ่งที่เราทำเป็นประจำวัน ถ้าเขาไม่ทำ งั้นก็ลองปรับดูว่ามีกิจกรรมอะไรที่เราสามารถจะทำด้วยกันได้ เช่น เรื่องภาษา เขาก็จะพูดอะไรเคลียร์ขึ้น คือกี้เข้าใจภาษาไทยนะคะ แต่บางมุกที่เขาปล่อยมาเพื่อให้ขำ บางทีเราจะไม่เข้าใจ ความหมายจริงๆ มันขำแหละ แต่เราไม่เข้าใจ พอเขาอธิบายถึงจะฮา เรื่องพวกนี้มันต้องปรับกันไปเรื่อยๆ กี้ว่ามันเกิดขึ้นกับทุกคู่ที่มาเจอกันในเวลาแบบนี้
ศรราม: ความรักมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ผมก็ไม่ได้กะเกณฑ์หรอกว่าผมจะมาเจอกับนิโคลในวัยขนาดนี้ ผมไม่ได้โตมาแล้วลิขิตชีวิตว่าวันที่ผมอายุ 45 ผมจะจีบนิโคลวันนี้ ผมก็ไม่ได้กะเกณฑ์ มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เขาเองก็คงไม่ได้กะเกณฑ์ว่าทำไมลิงตัวนี้ (หัวเราะ) แม่งป่วนฉิบหายเลย
พูดกันตรงๆ เลยนะ ไปถามเพื่อนผมหรือคนในวงการได้เลย ใครเอาผมอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เขา
นิโคล: เพราะอะไร…
ศรราม: เพราะผมเกรงใจไง แล้วกี้เองเขาก็เข้าใจ
การมาเจอกันในวันแบบนี้ มีกฎกติกาที่ตกลงกันไว้ไหม
ศรราม: มีๆ กฎกติกาของเราสองคนคือการไม่มีกติกา แต่คือการพยายามยอมรับซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ชอบสิ่งไหนแล้วจะพยายามทำเท่าที่ทำได้ ซึ่งนั่นก็รวมอยู่ในหลัก 4 ข้อของผมคือ รู้ใจ เอาใจ เข้าใจ เกรงใจ แต่ข้อหนึ่งที่สำคัญและเป็นกติกาของเราทั้งคู่เลยคืออย่าโกหกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คำว่าโกหกเนี่ยมันมีอยู่สองสเตป สเตปแรกคือตั้งใจโกหกเลย อันนี้เราสองคนไม่มีใครทำอยู่แล้ว แต่สเตปสองที่เขาเรียกว่าพูดเพื่อให้สบายใจ อันนี้ก็ห้าม เพราะมันจะนำพาไปสู่ความระแวง ซึ่งความระแวงมันไม่ดี กว่าเราสองคนจะผ่านมาถึงวันนี้ เรามีประสบการณ์ว่าไอ้การพูดเพื่อให้สบายใจกับพูดตรงๆ เนี่ย พูดตรงๆ ดีกว่า
คือที่ผ่านมาเวลาที่เรางอนหรือไม่เข้าใจกัน มันเป็นเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นๆ อย่างคนนี้ไม่ชอบอะไรแล้วอีกคนยอมทำให้ ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ เรารักแฟน เราก็อยากจะเอาใจแฟนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เหตุการณ์ที่จะนำพามาซึ่งความไม่เข้าใจกันแล้วสุดท้ายเกิดปัญหาขึ้นก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก
ถามจริงๆ กลัวไหมว่ารักครั้งนี้จะผิดหวังอีก
ศรราม: ผมไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนั้น ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า มันหยุดไม่ได้ ถ้าคิดจะทำอะไรสักอย่างแล้วคุณคิดว่าจะแพ้ คุณไปต่อไม่ได้หรอก คุณต้องคิดว่ายังไงต้องทำให้สำเร็จ ยากยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ อุปสรรคมีไว้ข้าม อุปสรรคไม่ได้มีไว้แบก ปัญหามีไว้แก้ ภาษาทหารเขาพูดกันแบบนี้ เป้มันหนักก็วาง หายเหนื่อยค่อยสะพายแล้วไปต่อ แค่นั้นเอง
ถ้าถามว่านี่จะเป็นความรักครั้งสุดท้ายของพวกคุณแล้วหรือยัง
ศรราม: ผมกับเขาเนี่ยหวุดหวิดกันมาหลายรอบแล้ว ไม่รู้สิ มันเหมือนมีเซนส์อะไรบางอย่าง เหมือนมันจะรอดหรือมันจะ… มันไม่เข้าใจกันน่ะ ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นกี้โผล่เข้ามา คือบางทีนึกว่าเรื่องมันแบบ… อยู่ๆ กี้ก็โผล่มาทำให้เราดีขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร บางเรื่องเป็นปัญหาที่เหมือนเราสองคนจะแก้ไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมารักผม เพิ่มความรักให้ผมเข้าไปอีก เพิ่มกำลังใจให้ผมผ่านปัญหานั้นไปได้
Definition of Love
ศรราม: ผมคิดว่าการศึกษาในฐานะมนุษย์มันไม่มีวันหมด ตอนที่เราอายุ 10-20 เราก็มีวิธีการใช้ชีวิตอีกอย่าง 20-30 ก็เป็นอีกอย่าง 30-40 มันก็เป็นอีกอย่าง ตอนเราสองคนอยู่ในช่วง 40-50 มันก็เป็นการศึกษาชีวิตอีกอย่าง เดี๋ยวพอถึงชีวิตช่วง 50-60 ก็ต้องเป็นอีกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เราต่างก็ต้องเรียนรู้ในขณะที่เวลามันผ่านไปในแต่ละวัน แล้วเราก็ไม่ได้เรียนรู้เฉพาะแค่กับคนคนเดียวด้วย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อคนที่เรารัก ที่อยู่ข้างหลังเรา ไม่ว่าจะเป็นแดดดี้ของกี้ หม่ามี้ของกี้ ทิกเกอร์เองเขาก็โตขึ้นเรื่อยๆ เป็นหนุ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวเราเองก็โตขึ้นด้วย คุณแม่ผมท่านก็อายุมากขึ้นด้วย เราถึงต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
ทิกเกอร์ ลูกชายของนิโคลโตเป็นหนุ่มแล้ว วันหนึ่งถ้าเขามาปรึกษาเรื่องความรัก คิดว่าศรรามจะให้คำปรึกษาในแง่มุมไหนได้ดีที่สุด
ศรราม: เรื่องความรักยังไม่ได้มาปรึกษาครับ แต่จริงๆ แล้วส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนสังเกตมากกว่า แล้วกี้จะเป็นคนคอยถามผม เพราะผมโตมากับคุณแม่ กี้ก็จะคอยถามว่าช่วงวัยนี้ผมคิดอะไร รู้สึกยังไง เช่น อาจจะอยากไปโรงเรียนเอง ไม่อยากให้แม่ไปส่ง เริ่มมีสาวมอง อยากแต่งตัวหล่อ หรือบางทีกี้มาปรึกษาว่าจะซื้อบางสิ่งบางอย่างให้ดีไหม ใช้ของแพงไปไหมในวัยแบบนี้
แต่ถ้าเข้ามาปรึกษาเองแทบจะน้อยมาก เพราะว่ากี้เลี้ยงลูกดี ทิกเกอร์เป็นเด็กที่มีมารยาท มีสัมมาคารวะ ส่วนรีเลชันชิปเนี่ย เขาก็จะอยู่กับคุณแม่เหมือนเพื่อน กี้เขาเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน คือสามารถจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเคารพ ทิกเกอร์เป็นเด็กแบบนั้น
เอาชนะใจแม่ได้แล้ว เอาชนะใจลูกชายได้หรือยัง
ศรราม: ส่วนใหญ่ผมจะอยู่ข้างทิกเกอร์นะ ไม่ใช่การเอาชนะใจเขา คือถ้าแบ่งฝ่าย ผมก็อยู่ข้างเขา เพราะผมเข้าใจว่าตอนอายุเท่าเขาผมเป็นยังไง คิดยังไง รู้สึกยังไง
นิโคล: อย่างเวลากี้ดุลูก สองคนนี้เขาก็จะมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้า เห็นนะ ไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่ก็น่ารักดีค่ะ เป็นมุมที่น่ารักดี
ตรงนี้ถือเป็นรายละเอียดที่สำคัญไหมสำหรับคนเป็นแม่
นิโคล: สำคัญค่ะ ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เขาต้องเข้ากับลูกเราได้ ต้องมีความจริงใจ แล้วไม่ใช่มาสปอยล์ลูก แต่ต้องมีความพอดี ซึ่งพี่หนุ่มเขามีตรงนี้ ต้องมีความเป็นธรรมชาติ เรื่องอย่างนี้มันเมกกันไม่ได้ เรื่องอย่างนี้มันดูออก เราเองก็ดูออก เด็กเองก็ดูออก ซึ่งเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะมองนะคะ แต่พี่หนุ่มเขามีความเป็นธรรมชาติ ทิกเกอร์เองกำลังจะเป็นวัยรุ่น เหมือนทุกอย่างมันกำลังลงล็อกอย่างพอดี
ในช่วงเวลาแบบนี้ คำว่า ‘พิธีแต่งงาน’ ยังสำคัญกับพวกคุณอยู่ไหม
ศรราม: ผมบอกไปแล้วตั้งแต่ช่วงต้นว่าผมคบหาใคร นอกจากเห็นใจ เข้าใจ เกรงใจ แต่สิ่งที่สำคัญพอๆ กับการทำ 4 ข้อนี้คือมันต้องทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฉะนั้นการให้เกียรติเขามันต้องทั้งต่อหน้าและลับหลัง
กี้เองเขาก็เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม สร้างความสุขให้กับสังคมมาเยอะ เมื่อถึงเวลาก็ต้องให้เกียรติเขาอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะที่เขาเป็นสุภาพสตรีคนหนึ่ง ทำเป็นเล่นไม่ได้นะเรื่องพวกนี้
หมายความว่ายังไงก็แต่งแน่นอน
ศรราม: แต่งสิฮะ ผมแต่งอยู่แล้ว เพียงแต่ผมจะแต่งแบบไหนเท่านั้นเอง มันเรื่องของผม แต่ผมแต่งใช้สตางค์ไม่เยอะนะ ผมเก็บสตางค์ไว้ให้กี้ใช้ดีกว่า
นิโคล: คำนิยามของกี้เรื่องความรัก เรื่องครอบครัวเนี่ย มันเลยพวกพิธีแต่งงานหรืออะไรที่เป็นแบบ… เพราะกี้มองว่าตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวแล้ว หลายคนก็จะบอกว่าแต่งงานสักทีสิ ไม่ได้บอกว่าจะไม่นะคะ… แต่กี้ไม่ได้เห็นว่าเรายังไม่ได้เป็นครอบครัวจนกว่าเราจะแต่งงาน ไม่ใช่ กี้ว่าเราเป็นแฟมิลี่กันแล้ว
แฟมิลี่คืออะไร แฟมิลี่คือคนที่อยู่และแชร์ทุกอย่างในชีวิตของเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา รับรู้ในสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราคิดและช่วยกันในเรื่องที่ดี ช่วยกันแก้ปัญหาที่เรามี นี่แหละคือครอบครัว แล้วเราก็เป็นกันอยู่ทุกวันนี้
ฉะนั้นถามว่าคาดหวังไหม เราเลยไม่ได้คาดหวัง ใช้ชีวิตกันแบบวันต่อวัน คือทำแต่ละวันให้มันดีที่สุด พยายามเข้าใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น หรือถ้าไม่เข้าใจก็หายใจเข้าลึกๆ
ความรักมันไม่ได้ง่ายนะคะ ทุกวันเราจะต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา ต่างคนต่างรู้สึกอยากให้ เราให้เขา เขาให้เรา ถ้าเราจะไปกันให้ถึงที่สุด ในที่นี้กี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งของนะ แต่เป็นเรื่องของความคิด ความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก ถ้าเราจะไปกันให้ถึงที่สุด