World Inequality Lab องค์กรอิสระในกรุงปารีสของฝรั่งเศส เปิดเผยรายงานความเหลื่อมล้ำโลก หรือ World Inequality Report ประจำปี 2020 พบว่า นับตั้งแต่ปี 1995 สัดส่วนความมั่งคั่งที่อยู่ในความครอบครองของบรรดาอภิมหาเศรษฐีทั่วโลกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกปี แต่อัตราการขยายตัวกลับเร็วขึ้นทุบสถิติในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ทำให้คนรวย 10% ของโลกจึงครอบครองรายได้และทรัพยากรโลกไว้ถึง 52% ซึ่งแตกต่างจากคนจนที่ได้ครอบครองส่วนแบ่งรายได้เพียง 8% เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ในขณะที่วิกฤตโควิดทำให้คนรวยรวยขึ้น การระบาดยังทำให้คนที่ยากจนอยู่แล้วราว 100 ล้านคนตกอยู่ในสถานะยากจนลงอีกจนเข้าสู่ภาวะยากจนขั้นสุด หรือ Extreme Poverty
ทั้งนี้ จากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และความมั่งคั่งของ 10 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของโลกโดยนิตยสาร Forbes ระบุว่า เศรษฐีแต่ละรายมีสินทรัพย์สุทธิเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทุกคน โดย อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Tesla มีสินทรัพย์มากที่สุดที่ 265,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบรรดาเศรษฐีทั้งหมดล้วนเป็นชาวอเมริกัน ยกเว้น 1 รายคือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของ LVMH สินค้าแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton ที่เป็นชาวฝรั่งเศส
ลูคัส แชนเซล (Lucas Chancel) ผู้อำนวยการร่วมของ World Inequality Lab กล่าวว่า กว่า 18 เดือนที่ผ่านมา เหล่ามหาเศรษฐีมีสัดส่วนความมั่งคั่งขยับเพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 3% คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งกลุ่มร่ำรวยที่สุด 1% ได้เอาความมั่งคั่งส่วนเกินไปมากกว่า 1 ใน 3 ที่สะสมมาตั้งแต่ปี 1995 ในขณะที่กลุ่มชนชั้นล่างสุด 50% ได้มาเพียง 2% เท่านั้น
ความแตกต่างที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำที่น่าวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น โดยภาพรวมของรายงานความหนา 288 หน้าสรุปว่า ประชากรเศรษฐี 10% ของโลกครอบครองทรัพยากรและความมั่งคั่งไว้ทั้งหมด 76%
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่ายุโรปถือเป็นภูมิภาคที่มีความเท่าเทียมดีที่สุด คือคนรวย 10% มีส่วนแบ่งรายได้ 36% ขณะที่ตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือถือเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง เพราะคนรวย 10% ในสังคม มีส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 58% ขณะที่ผู้หญิงยังคงมีรายได้จากการทำงานน้อยกว่าผู้ชาย
บรรดานักเศรษฐศาสตร์แนะว่า เพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น รัฐบาลทั่วโลกต้องเร่งเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษี และบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อให้เหล่าเศรษฐีทั่วโลกไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้ อีกทั้งโครงสร้างภาษีที่รัดกุมจะช่วยให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น
อ้างอิง:
