×

เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ

10.11.2025
  • LOADING...
เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ

‘หายนะ’ หรือ ‘ทางออก’ คือสถานการณ์เส้นบางๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการประชุม COP30 ซึ่งเปิดฉากอย่างเป็นทางการ ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ตั้งแต่วันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน ท่ามกลางความคาดหวังและแรงกดดันจากทั่วโลก หลังมีการเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในช่วงปลายปี 2024 ว่า โลกมีค่าเฉลี่ยอุณหภูมิทะลุ 1.5 องศา ซึ่งเป็นตัวเลขเกินกว่าขีดจำกัดตามที่ ‘ข้อตกลงปารีส’ เคยตั้งไว้

 

THE STANDARD รวบรวมวาระการประชุม ประเด็นที่น่าสนใจ รวมถึงความหวังเฮือกสุดท้ายของโลกในการจัดการวิกฤตโลกเดือดมาสรุปไว้ที่นี่

 

การประชุม COP คืออะไร

 

COP เป็นการประชุมของสมาชิกประเทศในภาคีสนธิอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (U.N. Framework on Climate Change Convention: UNFCCC) โดยมีการลงนามตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมาว่า ทุกประเทศต้องร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างแข็งขัน

 

ทั้งนี้ หลักการสำคัญในภาคีสนธิสัญญาที่ยึดถือร่วมกัน คือ ‘Common But Differentiated Responsibilities’ (CBDR) ซึ่งหมายความว่า ทุกประเทศในโลกต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะหากเป็นประเทศพัฒนา ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา (เพราะมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง)

 

อย่างไรก็ดี การประชุม COP ในแต่ละปี ยังมีไฮไลต์สำคัญนอกเหนือจากประเด็นสภาพภูมิอากาศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์หรือการเงินโลก โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้นำระดับโลก นักวิทยาศาสตร์ องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งคาดว่า ปี 2025 จะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 5 หมื่นคน

 

COP30 มีความสำคัญอย่างไร

 

ชื่อของ COP30 มาจากจำนวนครั้งของการประชุมตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา โดยในปี 2025 ประเทศบราซิลได้เป็นเจ้าภาพตามวาระหมุนเวียน ซึ่งใช้เมืองเบเล็งเป็นสถานที่การประชุม โดย อังเดร กอร์เรอา ดู ลาโก (André Corrêa do Lago) ประธาน COP30 ระบุว่า สาเหตุที่ต้องใช้สถานที่นี้ เพราะต้องการให้ผู้นำโลกเผชิญ ‘วิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ’ อย่างตรงไปตรงมา

 

เบเล็งคือเมืองที่เผชิญความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมสูง โดยพื้นที่ 40% ของเมืองตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ยากจนของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองปากแม่น้ำแอมะซอน ป่าริมฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำหน้าที่เป็น ‘ปอดโลก’ ดูดซับมลพิษ แต่กลับเผชิญความเปราะบางสูง จากการถูกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมือง การทำฟาร์ม และการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิล

 

นอกจากนี้ COP30 ยังมีชื่อเล่นอื่นๆ เช่น the Forest COP หรือ COP of Truth โดยรัฐบาลบราซิลภายใต้ ลูลา ดา ซิลวา ยืนยันว่า การประชุมครั้งนี้จะมีความหลากหลายและเปิดกว้างต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น การให้ชนพื้นเมืองเข้ามานั่งร่วมพูดคุย หรือเปิดกว้างให้กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำการประท้วง หรือแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายในการประชุมครั้งก่อนๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์ ที่จำกัดเสรีภาพการแสดงออก

 

COP30 มีวาระอะไรน่าจับตามองบ้าง

 

อันที่จริง การประชุม COP30 เกิดขึ้นท่ามกลางคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ คือ ภัยคุกคามเร่งด่วน โดยการมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด และยั่งยืน เป็น ‘สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน’ ของมนุษยชาติ ซึ่งตอกย้ำมติของสมัชชาใหญ่ (UNGA) ในปี 2022 อันมีผลให้รัฐภาคีในสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) มีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย

 

การประชุมครั้งนี้จึงเป็นทั้งโอกาสพิเศษ และการผลักดันให้วาระดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง รวมถึงอยู่ในวงกว้างมากขึ้น เช่น การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและสถาบันทางการเงิน ดำเนินมาตรการหรือสร้างกฎระเบียบที่เชื่อมโยงกับคำตัดสินครั้งนี้

 

อย่างไรก็ดี วาระหลักของการประชุม COP30 คือ การหาทางออกจากวิกฤตโลกเดือด โดยในช่วงที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีตัวเลขมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้ตามข้อตกลงปารีส และหากไม่มีการจัดการ อุณหภูมิโลกอาจพุ่งสูง 2.3-2.8 องศาเซลเซียส ซึ่งระบบนิเวศอาจล่มสลาย มนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้ เพราะโลกเผชิญอุทกภัย และความร้อนจัด

 

บราซิลในฐานะเจ้าภาพจึงตั้งใจใช้เวทีการประชุมครั้งนี้ตอกย้ำปัญหา และประกาศว่า การแก้ไขวิกฤตโลกเดือดคือภารกิจร่วมกันของมนุษยชาติ (Collective Task หรือ Mutirão ในภาษาพื้นเมือง) โดยมีแผนงานสืบเนื่อง คือ การระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 ซึ่งเป็นโปรเจกต์ต่อเนื่องจาก COP29 เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา และผลักดัน ‘การเปลี่ยนผ่านอย่างยุติธรรม’ ให้กับโลก

 

นอกจากนี้ การประชุม COP30 ยังเกิดขึ้นในช่วงครบรอบ 10 ปี ที่ข้อตกลงปารีสเกิดขึ้น ซึ่งในสนธิสัญญาระบุให้รัฐภาคีต้องปรับปรุงเนื้อหา ‘กรอบการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ในทุก 5 ปี หรือแผนงานที่ระบุว่า แต่ละประเทศมีเจตนารมณ์ที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อทำให้อุณหภูมิต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้อย่างไร โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ปริมาณก๊าซต้องลดลง 60% ภายในปี 2035

 

อย่างไรก็ดี รัฐบาล 95% ในภาคีไม่ได้ส่งกรอบเนื้อหาภายใต้เงื่อนเวลาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แม้จะขยายเวลาจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่มีเพียง 60 กลุ่มที่ส่งกรอบดังกล่าว

 

มีการคาดการณ์ว่า การประชุมครั้งนี้จะไม่ราบรื่นเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะแต่ละประเทศต้องเจรจาต่อรองตามผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่งมักเกิดความขัดแย้ง และหยุดชะงักกลางคัน

 

COP30 ไร้เงาสหรัฐฯ หนึ่งในมหาอำนาจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก

 

ตามรายงานในหน้าสื่อ รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม COP30 หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ ประกาศจุดยืนต่อต้านประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ พร้อมถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2026

 

อย่างไรก็ดี บทวิเคราะห์ How the US could shape the COP30 climate summit without even being there ของ CNN เชื่อว่า แม้ทรัมป์จะไม่เดินทางมาเข้าร่วม แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในเวทีการประชุมดังกล่าว โดยเฉพาะการให้โทษกับหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุม หรือยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า

 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จุดยืนของทรัมป์ที่ไม่ลงรอยกับประเด็นสิ่งแวดล้อม อาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการผลักดันวาระสำคัญในประชุม เช่น การที่สหรัฐฯ สนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิล ได้ลดแรงจูงใจให้ชาติ อื่นๆ ทำตามแผนงานลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2035

 

ทั้งนี้คาดว่า ดาวเด่นในการประชุม COP30 คือ ประเทศกลุ่มซีกโลกใต้ (Global South), ประเทศหมู่เกาะที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือดโดยตรง หรือกลุ่มประเทศมหาอำนาจ G7 และ BASIC โดยเฉพาะจีน แม้ สีจิ้นผิง ผู้นำสูงสุดไม่ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง แต่ก็พยายามเล่นบทบาทผู้นำสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งขันแทนสหรัฐฯ

 

‘ตัดไม้ทำลายป่า ปูทางให้คนรวย’ เสียงวิจารณ์อีกด้านจาก COP30

 

แม้มีการปูทางให้ COP30 เป็นวาระจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก แต่การประชุมครั้งนี้มีข้อวิจารณ์มากมายที่ตามมา เช่น กรณีรัฐบาลบราซิลสั่งให้มีการทำถนนเพื่อบรรเทาสถานการณ์รถติดจากการประชุม โดยต้องตัดต้นไม้ในป่าอะแมซอนมากกว่า 400 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนักเคลื่อนไหวและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการประชุม

 

นอกจากนี้ ยังมีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงศักยภาพของเมืองเบเล็งในการรองรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งเผชิญกับภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัย และมีค่าครองชีพราคาแพง ทำให้เจ้าของที่และบริษัทเช่าอสังหาริมทรัพย์เก็บค่าที่พักสูงถึงหลักแสน เช่น แฟลตอะพาร์ตเมนต์ 1 ห้อง ราคาเพิ่มขึ้นถึง 15,266 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.9 แสนบาท) จากเดิมที่ราคา 158 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,902 บาท) ขณะที่มีรายงานว่า เจ้าของที่บางรายไล่ผู้เช่าเดิมออก เพื่อแสวงหากำไรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

ภาพ: Adriano Machado / Reuters

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising