วันนี้ (3 พฤศจิกายน) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ผลการประชุมปรึกษาคดีของตุลาการมีมติไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดย อัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธธธรรมนูญ มาตรา 49
กล่าวอ้างว่า การจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ผู้ถูกร้องที่ 2) กับ อนุทิน ชาญวีรกูล (ผู้ถูกร้องที่ 3) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยตกลงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 พิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
โดยอาศัยมติพรรคการเมืองยินยอมให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตกอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันไว้ล่วงหน้า อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 114 และมาตรา 185 การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสี่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกรองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 กับผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 กระทำการอื่นใดอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย


